ทำฟัน จัดฟัน นัดปรึกษาฟรี : @iDentistClinic

ปัญหาเรื่องฟันของคนวัยทำงาน

ปัญหาฟันวัยทำงาน

คนวัยทำงานมักเผชิญกับ ปัญหาฟันวัยทำงาน และช่องปากหลายประการ สาเหตุหลักๆ มักมาจากการใช้ชีวิตประจำวันและพฤติกรรมการบริโภคอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ รวมถึงความเครียดจากการทำงานก็ส่งผลได้เช่นกัน ปัญหาฟันวัยทำงาน ที่พบบ่อย ได้แก่

ปัญหาฟันวัยทำงาน

  • ฟันผุ 
  • กลิ่นปาก
  • ฟันเหลือง
  • หินปูนและเหงือกอักเสบ
  • อาการเสียวฟัน

ปัญหาฟันผุ 

ฟันผุ เกิดจากการสะสมของคราบแบคทีเรียและกรดที่เกิดจากการย่อยสลายเศษอาหาร โดยเฉพาะอาหารที่มีแป้งและน้ำตาลสูง หากทำความสะอาดไม่ดีพอ ก็จะทำให้ฟันผุได้ง่าย ภาวะที่เนื้อฟันถูกทำลายลงอย่างถาวร อันเนื่องมาจากกระบวนการที่ซับซ้อน ซึ่งเกี่ยวข้องกับ

  • เชื้อแบคทีเรียในช่องปาก โดยเฉพาะกลุ่ม Streptococcus mutans และ Lactobacillus ซึ่งอาศัยอยู่ในคราบจุลินทรีย์ (plaque) ที่เกาะอยู่บนผิวฟัน
  • น้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต เมื่อเรารับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือคาร์โบไฮเดรต เชื้อแบคทีเรียเหล่านี้จะย่อยสลายสารอาหารเหล่านี้และผลิต กรด ออกมา
  • ระยะเวลา กรดที่ผลิตออกมาจะสัมผัสกับผิวฟันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ทำให้ แร่ธาตุในผิวฟัน (enamel) ค่อยๆ สลายตัว หรือที่เรียกว่า demineralization
  • ความต้านทานของฟัน ความแข็งแรงของเคลือบฟันและปริมาณน้ำลายของแต่ละบุคคลก็มีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดฟันผุ

กระบวนการเกิดฟันผุ

  1. การสะสมของคราบจุลินทรีย์ (Plaque) คราบเหนียวใสที่เกิดขึ้นบนผิวฟันอยู่ตลอดเวลา ประกอบด้วยเชื้อแบคทีเรีย เศษอาหาร และน้ำลาย
  2. การผลิตกรด เมื่อเชื้อแบคทีเรียในคราบจุลินทรีย์ได้รับน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต จะสร้างกรดเป็นผลพลอยได้
  3. การสลายตัวของแร่ธาตุ (Demineralization) กรดจะกัดกร่อนผิวเคลือบฟัน ทำให้เกิดรอยผุเล็กๆ ในระยะแรก
  4. การลุกลามของการผุ หากไม่ได้รับการรักษา รอยผุจะลุกลามไปยังชั้นเนื้อฟัน (dentin) ซึ่งมีความอ่อนกว่าเคลือบฟัน ทำให้การผุลุกลามได้เร็วขึ้น และอาจทะลุโพรงประสาทฟัน (pulp) ในที่สุด

ผลที่ตามมาของฟันผุ

  • อาการเสียวฟัน โดยเฉพาะเมื่อสัมผัสกับความร้อน เย็น หรือหวาน
  • ปวดฟัน เมื่อการผุลุกลามถึงชั้นเนื้อฟันหรือโพรงประสาทฟัน
  • ฟันเป็นรูหรือมีรอยดำ สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่าในระยะที่ผุลุกลามมากขึ้น
  • การติดเชื้อ หากการผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน อาจทำให้เกิดการติดเชื้อและเป็นหนองได้
  • การสูญเสียฟัน หากไม่ได้รับการรักษา ฟันที่ผุมากอาจต้องถูกถอนในที่สุด

ดังนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอ การควบคุมอาหารที่มีน้ำตาล และการพบทันตแพทย์เป็นประจำจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันและรักษาฟันผุ

 

 

ปัญหากลิ่นปาก

กลิ่นปาก มีหลายสาเหตุ เช่น การแปรงฟันไม่สะอาดเพียงพอ เศษอาหารตกค้าง ฟันผุ โรคเหงือก หรือแม้กระทั่งการดื่มน้ำน้อย ภาวะที่ลมหายใจมีกลิ่นไม่พึงประสงค์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นใจและบุคลิกภาพของผู้ที่มีอาการ รวมถึงสร้างความกังวลในการเข้าสังคมได้ สาเหตุของกลิ่นปากนั้นมีหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่แล้วมักมาจากภายในช่องปากเอง รองลงมาคือสาเหตุจากภายนอกช่องปาก

สาเหตุหลักที่มาจากภายในช่องปาก

  • สุขอนามัยช่องปากไม่ดี เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด การแปรงฟันไม่สะอาด ไม่ทั่วถึง หรือไม่ใช้ไหมขัดฟัน ทำให้มีเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์สะสมอยู่ตามซอกฟัน ร่องเหงือก และบนลิ้น เมื่อแบคทีเรียเหล่านี้ย่อยสลายเศษอาหาร จะปล่อยสารประกอบที่มีกำมะถัน (Volatile Sulfur Compounds – VSCs) ซึ่งมีกลิ่นเหม็นออกมา
  • ลิ้น พื้นผิวขรุขระของลิ้นเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและเศษอาหารได้ดี หากไม่ทำความสะอาดลิ้นเป็นประจำ ก็อาจเป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้
  • ฟันผุ ฟันที่ผุลึกมีโพรง หรือมีการติดเชื้อ จะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและเศษอาหาร ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นได้
  • โรคเหงือก (Gingivitis) และโรคปริทันต์ (Periodontitis) การอักเสบและการติดเชื้อของเหงือกและเนื้อเยื่อรอบฟัน ทำให้เกิดหนองและสารที่มีกลิ่นเหม็น
  • เศษอาหารติดอยู่ตามซอกฟัน โดยเฉพาะเศษเนื้อสัตว์ที่อาจเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น
  • ปากแห้ง (Xerostomia) น้ำลายมีบทบาทสำคัญในการชะล้างเศษอาหารและแบคทีเรีย หากมีน้ำลายน้อยลง จะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดีขึ้นและเกิดกลิ่นปาก
  • การใส่ฟันปลอมที่ไม่สะอาด หากทำความสะอาดฟันปลอมไม่ดีพอ อาจเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียและเชื้อรา ทำให้เกิดกลิ่นปากได้

สาเหตุจากภายนอกช่องปาก

  • โรคบางชนิด เช่น ไซนัสอักเสบ ทอนซิลอักเสบ กรดไหลย้อน โรคเบาหวาน โรคไต หรือโรคตับ
  • ยาบางชนิด ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดภาวะปากแห้ง ซึ่งเป็นสาเหตุของกลิ่นปาก
  • อาหารบางชนิด อาหารที่มีกลิ่นแรง เช่น กระเทียม หอมใหญ่ เครื่องเทศบางชนิด แม้จะแปรงฟันแล้ว กลิ่นก็อาจยังคงอยู่ได้ชั่วคราว
  • การสูบบุหรี่ บุหรี่มีสารเคมีหลายชนิดที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพช่องปากโดยรวม

การจัดการและป้องกันปัญหากลิ่นปาก

  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างเข้มงวด แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน โดยเน้นการแปรงลิ้นด้วย
  • ใช้ไหมขัดฟันทุกวัน เพื่อกำจัดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ตามซอกฟัน
  • บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก ที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อป้องกันภาวะปากแห้ง
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกลิ่นแรง ในช่วงเวลาที่ไม่ต้องการให้มีกลิ่นปาก
  • งดสูบบุหรี่
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรับการรักษาหากมีปัญหา เช่น ฟันผุ หรือโรคเหงือก

หากดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างดีแล้วยังมีกลิ่นปาก ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม

 

ปัญหาฟันเหลือง

ฟันเหลือง มักเกิดจากคราบอาหาร เครื่องดื่ม เช่น ชา กาแฟ หรือการสูบบุหรี่ ภาวะที่สีของฟันเปลี่ยนแปลงไปจากสีขาวธรรมชาติ ทำให้ดูไม่สดใสและอาจส่งผลต่อความมั่นใจในรอยยิ้ม สาเหตุของฟันเหลืองมีหลายประการ ทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในตัวฟันเอง

สาเหตุภายนอก (Extrinsic Stains) เกิดจากการสะสมของคราบต่างๆ บนผิวฟัน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จาก

  • อาหารและเครื่องดื่ม เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เครื่องดื่มที่มีสีเข้ม เช่น ชา กาแฟ ไวน์แดง น้ำอัดลมสีเข้ม หรืออาหารที่มีสีจัด เช่น แกงที่มีส่วนผสมของขมิ้น ซอสต่างๆ สามารถทิ้งคราบสีบนผิวฟันได้
  • การสูบบุหรี่ นิโคตินและน้ำมันดินในบุหรี่เป็นสารที่ทำให้เกิดคราบเหลืองถึงน้ำตาลเข้มบนฟันได้อย่างรวดเร็วและฝังแน่น
  • การดูแลสุขอนามัยช่องปากไม่ดี การแปรงฟันไม่สม่ำเสมอหรือไม่ถูกวิธี ทำให้คราบอาหารและแบคทีเรียสะสมจนเกิดเป็นคราบสี
  • น้ำยาบ้วนปากบางชนิด น้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ Chlorhexidine หรือ Cetylpyridinium chloride หากใช้นานๆ อาจทำให้เกิดคราบสีน้ำตาลบนฟันได้
  • คราบหินปูน หินปูนที่สะสมบนฟันจะมีสีเหลืองหรือน้ำตาล และพื้นผิวที่ขรุขระของหินปูนยังทำให้คราบสีอื่นๆ เกาะติดได้ง่ายขึ้น

สาเหตุภายใน (Intrinsic Stains) เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสีที่เกิดขึ้นภายในโครงสร้างของฟันเอง ซึ่งมักจะแก้ไขได้ยากกว่าสาเหตุภายนอก ได้แก่

  • อายุ เมื่ออายุมากขึ้น ชั้นเคลือบฟันจะค่อยๆ บางลง ทำให้เห็นชั้นเนื้อฟัน (dentin) ที่มีสีเหลืองอ่อนตามธรรมชาติได้ชัดเจนขึ้น
  • การได้รับยาเตตราไซคลิน (Tetracycline) ในวัยเด็ก ยาปฏิชีวนะชนิดนี้หากรับประทานในช่วงที่ฟันกำลังพัฒนา (โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ปี) จะทำให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟันอย่างถาวร เป็นสีเหลือง เทา หรือน้ำตาล
  • ภาวะฟลูออโรซิส (Fluorosis) การได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปในวัยเด็กขณะที่ฟันกำลังสร้าง อาจทำให้เกิดจุดหรือแถบสีขาวขุ่นบนฟัน ในกรณีที่รุนแรงอาจทำให้ฟันมีสีเหลืองหรือน้ำตาลได้
  • การบาดเจ็บที่ฟัน การกระทบกระแทกที่ฟันอย่างรุนแรงอาจทำให้เส้นเลือดในโพรงประสาทฟันแตกและมีเลือดออกภายใน ทำให้ฟันมีสีคล้ำหรือเทาได้
  • โรคทางพันธุกรรมบางชนิด โรคทางพันธุกรรมบางอย่างอาจส่งผลต่อการพัฒนาของฟันและทำให้ฟันมีสีผิดปกติ

การแก้ไขปัญหาฟันเหลือง วิธีการแก้ไขปัญหาฟันเหลืองจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ

  • การขูดหินปูน ช่วยกำจัดคราบหินปูนและคราบผิวฟัน ทำให้ฟันดูขาวสะอาดขึ้น
  • การขัดฟัน ช่วยขจัดคราบผิวฟันที่ฝังแน่น
  • การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening) เป็นวิธีที่ช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้ โดยใช้น้ำยาที่มีส่วนผสมของไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เปอร์ออกไซด์ เพื่อทำปฏิกิริยากับคราบสีบนฟัน ทั้งนี้ควรอยู่ภายใต้การดูแลของทันตแพทย์
  • การเคลือบฟันเทียม (Dental Veneers) เป็นการใช้วัสดุบางๆ ปิดทับบนผิวฟัน เพื่อแก้ไขสี รูปร่าง หรือขนาดของฟัน เหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาฟันเหลืองจากสาเหตุภายในที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการฟอกสีฟัน
  • การครอบฟัน (Dental Crowns) ในกรณีที่ฟันมีการเปลี่ยนสีอย่างรุนแรง หรือมีปัญหาโครงสร้างร่วมด้วย การครอบฟันอาจเป็นทางเลือกในการบูรณะฟันให้สวยงาม

การป้องกันปัญหาฟันเหลือง

  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันทุกวัน
  • จำกัดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม และควรบ้วนปากหรือดื่มน้ำตามหลังการบริโภค
  • งดสูบบุหรี่

พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูน

 

 

ปัญหา หินปูนและเหงือกอักเสบ

หินปูน และเหงือกอักเสบ  ฟันสึกกร่อน คราบจุลินทรีย์ที่สะสมนานวันจะกลายเป็นหินปูน ทำให้เหงือกอักเสบ บวมแดง และมีเลือดออกได้ หินปูน (Calculus หรือ Tartar) และ เหงือกอักเสบ (Gingivitis) มักเกิดขึ้นควบคู่กัน และเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาสุขภาพช่องปากที่ร้ายแรงกว่าได้ 

หินปูน (Calculus หรือ Tartar) คือ คราบจุลินทรีย์ (plaque) ที่สะสมอยู่บนผิวฟันเป็นเวลานาน และแข็งตัวขึ้นเนื่องจากการตกตะกอนของแร่ธาตุต่างๆ ในน้ำลาย โดยเฉพาะแคลเซียมและฟอสเฟต หินปูนมีลักษณะเป็นคราบแข็ง สีเหลืองอ่อน น้ำตาล หรือดำ เกาะติดแน่นบริเวณคอฟันและซอกฟัน ไม่สามารถกำจัดออกได้ด้วยการแปรงฟันเพียงอย่างเดียว

การก่อตัวของหินปูน

  1. คราบจุลินทรีย์ (Plaque) ก่อตัว หลังจากการรับประทานอาหาร จะมีเศษอาหารและแบคทีเรียรวมตัวกันเป็นคราบเหนียวใสบนผิวฟัน
  2. การสะสมของแร่ธาตุ หากคราบจุลินทรีย์ไม่ถูกกำจัดออกภายใน 24-72 ชั่วโมง แร่ธาตุในน้ำลายจะเริ่มตกตะกอนและสะสมในคราบจุลินทรีย์
  3. การแข็งตัวเป็นหินปูน เมื่อเวลาผ่านไป คราบจุลินทรีย์จะค่อยๆ แข็งตัวกลายเป็นหินปูน ซึ่งมีพื้นผิวที่ขรุขระ ทำให้คราบจุลินทรีย์ใหม่ๆ เกาะติดได้ง่ายขึ้น

เหงือกอักเสบ (Gingivitis) คือ

ภาวะที่เหงือกเกิดการระคายเคือง บวมแดง และมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน สาเหตุหลักของเหงือกอักเสบคือ คราบจุลินทรีย์ (plaque) ที่สะสมอยู่บริเวณขอบเหงือก หากปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้รับการรักษา คราบจุลินทรีย์จะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อเหงือก

ความสัมพันธ์ระหว่างหินปูนและเหงือกอักเสบ

หินปูนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดและทำให้เหงือกอักเสบรุนแรงขึ้น เนื่องจาก

  • พื้นผิวขรุขระ หินปูนมีพื้นผิวที่ขรุขระ เป็นที่เกาะติดของคราบจุลินทรีย์ได้ดี ทำให้ยากต่อการทำความสะอาดด้วยตนเอง
  • การระคายเคือง หินปูนที่สะสมอยู่บริเวณขอบเหงือกจะระคายเคืองเนื้อเยื่อเหงือกโดยตรง
  • การสะสมของแบคทีเรีย หินปูนเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียจำนวนมาก ซึ่งจะปล่อยสารพิษออกมาทำลายเนื้อเยื่อเหงือก

อาการของเหงือกอักเสบ

  • เหงือกบวมแดง
  • เหงือกมีเลือดออกง่ายขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน
  • เหงือกมีลักษณะมันวาว
  • อาจมีกลิ่นปาก

หากปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา เหงือกอักเสบสามารถพัฒนาไปสู่โรคปริทันต์ (Periodontitis) ซึ่งเป็นภาวะที่รุนแรงกว่า โดยมีการทำลายกระดูกรองรับฟัน ทำให้ฟันโยกและอาจถึงขั้นสูญเสียฟันได้

การป้องกันและรักษาปัญหาหินปูนและเหงือกอักเสบ

  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน โดยเน้นบริเวณขอบเหงือก และใช้ไหมขัดฟันทุกวันเพื่อทำความสะอาดซอกฟัน
  • ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของฟัน
  • บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปาก ที่มีส่วนผสมช่วยลดคราบจุลินทรีย์
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำทุก 6 เดือน เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน และรับคำแนะนำในการดูแลสุขภาพช่องปากที่ถูกต้อง

การขูดหินปูน (Scaling) เป็นวิธีการรักษาหลักสำหรับปัญหาหินปูน ทันตแพทย์หรือทันตาภิบาลจะใช้เครื่องมือพิเศษขูดหินปูนที่เกาะอยู่บนผิวฟันและใต้ขอบเหงือกออกอย่างหมดจด การขูดหินปูนเป็นประจำจะช่วยป้องกันและรักษาเหงือกอักเสบได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ปัญหา อาการเสียวฟัน

ปัญหาฟันวัยทำงาน อาการเสียวฟัน อาจเกิดจากเหงือกร่น เผยให้เห็นผิวรากฟัน หรือฟันสึก ทำให้เกิดอาการเสียวเมื่อทานของเย็น ร้อน หรือหวาน ภาวะที่รู้สึกเจ็บแปลบหรือรู้สึกไม่สบายบริเวณฟัน เมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นบางอย่าง โดยเฉพาะ ความเย็น ความร้อน อาหารรสหวาน หรือรสเปรี้ยว บางครั้งแม้แต่การแปรงฟันหรือการหายใจเอาอากาศเย็นๆ ก็สามารถกระตุ้นอาการเสียวฟันได้

สาเหตุหลักของอาการเสียวฟัน

ปัญหาฟันวัยทำงาน อาการเสียวฟันเกิดขึ้นเมื่อ ชั้นเนื้อฟัน (dentin) ที่อยู่ใต้ชั้นเคลือบฟัน (enamel) หรือชั้นเคลือบรากฟัน (cementum) ถูกเปิดออก ทำให้ท่อเล็กๆ จำนวนมากที่อยู่ในชั้นเนื้อฟัน (dentinal tubules) ซึ่งเชื่อมต่อไปยังเส้นประสาทในโพรงประสาทฟัน (pulp) สัมผัสกับสิ่งกระตุ้นภายนอกโดยตรง สาเหตุที่ทำให้ชั้นเนื้อฟันถูกเปิดออก ได้แก่

  • เหงือกร่น (Gum Recession) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อเหงือกร่นลง จะเผยให้เห็นส่วนของรากฟันที่ไม่มีเคลือบฟันปกคลุม ทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ง่าย สาเหตุของเหงือกร่นมีหลายประการ เช่น การแปรงฟันแรงเกินไป โรคเหงือก การจัดฟัน หรือพันธุกรรม
  • เคลือบฟันสึกกร่อน (Enamel Erosion) การสูญเสียชั้นเคลือบฟัน ทำให้ชั้นเนื้อฟันที่อยู่ด้านในสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นได้โดยตรง สาเหตุของเคลือบฟันสึกกร่อน ได้แก่
    • การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูง เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้รสเปรี้ยว เครื่องดื่มชูกำลัง
    • ภาวะกรดไหลย้อน (GERD) กรดในกระเพาะอาหารที่ไหลย้อนขึ้นมาสามารถกัดกร่อนเคลือบฟันได้
    • โรคบูลิเมีย (Bulimia) การอาเจียนโดยตั้งใจทำให้ฟันสัมผัสกับกรดในกระเพาะอาหาร
    • การนอนกัดฟัน (Bruxism) การบดเคี้ยวฟันขณะนอนหลับอาจทำให้เคลือบฟันสึก
  • ฟันแตกหรือร้าว (Cracked or Chipped Teeth) รอยแตกหรือร้าวที่ลึกถึงชั้นเนื้อฟันสามารถทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้
  • ฟันผุ (Dental Caries) ฟันผุที่ลุกลามถึงชั้นเนื้อฟันจะทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้
  • การอุดฟันใหม่ๆ หลังจากการอุดฟัน อาจมีอาการเสียวฟันชั่วคราว ซึ่งมักจะหายไปเองภายในไม่กี่วันหรือสัปดาห์
  • การฟอกสีฟัน (Teeth Whitening) การฟอกสีฟันอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันชั่วคราวในบางคน
  • การขูดหินปูนและการเกลารากฟัน หลังการรักษาโรคเหงือก อาจมีอาการเสียวฟันชั่วคราว เนื่องจากมีการเปิดผิวรากฟันมากขึ้น

การจัดการและบรรเทาอาการเสียวฟัน

  • ใช้ยาสีฟันสำหรับฟันเสียว ยาสีฟันเหล่านี้มีส่วนผสมที่ช่วยอุดท่อเนื้อฟันและลดการส่งผ่านความรู้สึกไปยังเส้นประสาท ควรใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผล
  • ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และแปรงฟันอย่างเบามือ เพื่อป้องกันการเหงือกร่นและการสึกของเคลือบฟัน
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูง หรือหากรับประทาน ควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าทันทีหลังรับประทาน
  • ใช้ไหมขัดฟันอย่างระมัดระวัง: เพื่อไม่ให้เหงือกร่นมากขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการกัดหรือเคี้ยวของแข็ง โดยเฉพาะบริเวณที่เสียวฟัน
  • ปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการเสียวฟันและรับการรักษาที่เหมาะสม ทันตแพทย์อาจแนะนำวิธีการรักษาเพิ่มเติม เช่น:
    • การเคลือบฟลูออไรด์ เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟันและลดอาการเสียวฟัน
    • การอุดฟัน เพื่อปิดบริเวณที่ฟันผุหรือสึกกร่อน
    • การเคลือบผิวฟัน (Dental Bonding) เพื่อปิดบริเวณที่เคลือบฟันสึกหรือเหงือกร่นเล็กน้อย
    • การรักษาโรคเหงือก หากอาการเสียวฟันมีสาเหตุมาจากเหงือกร่นเนื่องจากโรคเหงือก
    • การครอบฟัน ในกรณีที่ฟันแตกหรือร้าวรุนแรง
    • การรักษารากฟัน ในกรณีที่อาการเสียวฟันรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ

ปัญหาฟันวัยทำงาน อาการเสียวฟันอาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพช่องปากที่ซ่อนอยู่ ดังนั้น หากคุณมีอาการเสียวฟัน ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้คนวัยทำงานมีสุขภาพช่องปากที่ดีและมั่นใจในรอยยิ้มค่ะ หากมีปัญหาเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์  identistclinic เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ได้เลย @iDentistClinic