สัญญาณเตือน “ฟันคุด” หรือฟันกรามซี่ที่สามกำลังพยายามจะขึ้นมา แม้บางคนอาจโชคดีที่ฟันคุดขึ้นมาได้ตรงและไม่มีปัญหา แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว ฟันคุดมักกลายเป็น “ตัวปัญหา” ที่สร้างความเจ็บปวดและอาจนำไปสู่การติดเชื้อที่รุนแรงได้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าอาการที่กำลังเป็นอยู่คือสัญญาณอันตรายจากฟันคุด? นี่คือ 7 สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม และควรรีบนัดพบทันตแพทย์ทันที!
Table of Contents
Toggleฟันคุด ทำไมบางคนมี บางคนไม่มี?
ฟันคุด” ในขณะที่บางคนกลับไม่มีฟันซี่นี้ให้ต้องกังวลเลย เป็นเรื่องที่หลายคนสงสัย คำตอบของเรื่องนี้ซ่อนอยู่ในการเดินทางอันยาวนานของวิวัฒนาการมนุษย์และรหัสพันธุกรรมของเราแต่ละคน โดยสรุปแล้ว สาเหตุหลักที่ทำให้บางคนมีและบางคนไม่มีฟันคุด แบ่งได้เป็น 2 ปัจจัยใหญ่ๆ คือ วิวัฒนาการและขนาดขากรรไกร และ พันธุกรรม
- วิวัฒนาการ เมื่อฟันคุดไม่จำเป็นอีกต่อไป ในอดีต บรรพบุรุษของเรามีขากรรไกรที่ใหญ่และแข็งแรงกว่าคนยุคปัจจุบันมาก เนื่องจากต้องใช้บดเคี้ยวอาหารที่แข็ง เหนียว และไม่ผ่านการปรุงสุก เช่น เนื้อดิบ, รากไม้, หรือธัญพืชต่างๆ ฟันกรามซี่ที่สาม (ฟันคุด) จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งในการเพิ่มประสิทธิภาพการบดเคี้ยวเพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารเพียงพอ
- พันธุกรรม ตัวกำหนดตั้งแต่เกิด ปัจจัยเรื่องพันธุกรรมมีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการมีหรือไม่มีฟันคุด
- ภาวะไม่มีฟันแต่กำเนิด (Hypodontia) เป็นลักษณะทางพันธุกรรมที่ทำให้คนคนนั้นไม่มีหน่อฟัน (Tooth Germ) ของฟันคุดมาตั้งแต่แรก ซึ่งหมายความว่าฟันคุดจะไม่ถูกสร้างขึ้นเลยตลอดชีวิต หากพ่อหรือแม่ไม่มีฟันคุด ก็มีแนวโน้มที่ลูกจะไม่มีฟันคุดได้เช่นกัน มีการศึกษาพบว่าประชากรราว 25-35% ทั่วโลกไม่มีฟันคุดอย่างน้อย 1 ซี่
- ขนาดขากรรไกร พันธุกรรมยังเป็นตัวกำหนดขนาดและรูปร่างของขากรรไกร บางคนอาจได้รับพันธุกรรมที่ทำให้มีขากรรไกรใหญ่พอที่ฟันคุดทั้ง 4 ซี่จะสามารถขึ้นมาได้ตรงและสวยงามเหมือนฟันกรามซี่อื่นๆ โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาใดๆ เลย
“คนไม่มีฟันคุด” หมายความว่าอย่างไร?
เมื่อมีคนบอกว่าเขา “ไม่มีฟันคุด” อาจหมายถึงกรณีใดกรณีหนึ่งใน 3 รูปแบบนี้
- ไม่มีหน่อฟันแต่กำเนิด คือไม่มีฟันคุดจริงๆ ซึ่งเป็นผลจากพันธุกรรมและวิวัฒนาการ
- ฟันคุดฝังตัวอยู่ใต้กระดูก มีฟันคุดอยู่ แต่ไม่เคยโผล่พ้นเหงือกขึ้นมาเลย และไม่เคยแสดงอาการใดๆ ทำให้เจ้าตัวไม่รู้ว่ามีอยู่ (จะเห็นได้จากการเอกซเรย์เท่านั้น)
- ฟันคุดขึ้นมาได้ตามปกติ มีฟันคุดและขึ้นมาได้สมบูรณ์เหมือนฟันกรามซี่อื่นๆ เพราะมีพื้นที่ขากรรไกรเพียงพอ
ดังนั้น การมีหรือไม่มีฟันคุดจึงเป็นเรื่องของความแตกต่างส่วนบุคคลที่ถูกกำหนดโดยวิวัฒนาการและพันธุกรรม ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดปกติแต่อย่างใด
สัญญาณเตือนแบบไหนที่บอกว่า “ฟันคุดกำลังขึ้น” และต้องรีบไปหาหมอฟัน?
ฟันคุด หรือฟันกรามซี่ที่สาม มักจะเริ่มขึ้นในช่วงอายุ 17-25 ปี และเนื่องจากพื้นที่ในขากรรไกรของเรามีจำกัด ทำให้ฟันคุดมักขึ้นมาในลักษณะที่ผิดปกติและก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้ง่าย หากคุณพบสัญญาณเตือนข้อใดข้อหนึ่งต่อไปนี้ ควรรีบไปพบทันตแพทย์โดยด่วน กลุ่มอาการอักเสบและติดเชื้อ (สัญญาณที่พบบ่อยที่สุด)
- ปวดบวมบริเวณกรามด้านในสุด เป็นอาการคลาสสิกที่สุด อาจเริ่มจากปวดหน่วงๆ รำคาญๆ ไปจนถึงปวดรุนแรงจนนอนไม่หลับ บางครั้งอาจปวดร้าวไปที่หูหรือขมับได้ อาการปวดนี้เกิดจากแรงดันของฟันที่พยายามจะขึ้น หรือเกิดจากการอักเสบของเหงือก
- เหงือกบวมแดงและเจ็บ (Pericoronitis) สังเกตเห็นว่าเหงือกที่คลุมฟันซี่ในสุดมีอาการบวมเป่ง แดงจัด และเจ็บเมื่อสัมผัส นี่คือสัญญาณของการอักเสบที่เกิดจากเศษอาหารและแบคทีเรียเข้าไปสะสมใต้เหงือก
- มีกลิ่นปากรุนแรง หรือมีรสชาติแปลกๆ ในปาก เมื่อเกิดการอักเสบและมีหนองสะสมอยู่ใต้เหงือก จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็นและมีรสเค็มๆ หรือขมๆ ในปาก แม้จะเพิ่งแปรงฟันเสร็จก็ตาม
กลุ่มอาการที่บ่งบอกว่าการอักเสบลุกลาม (สัญญาณอันตราย ควรไปพบแพทย์ทันที!)
- อ้าปากได้น้อยลง หรือเจ็บเวลาอ้าปาก เมื่อการอักเสบลามไปถึงกล้ามเนื้อบริเวณใกล้เคียง จะทำให้เกิดอาการขากรรไกรยึด รู้สึกตึงและเจ็บเวลาพยายามอ้าปากกว้างๆ หรือเคี้ยวอาหาร
- แก้มบวม หรือหน้าบวมข้างเดียว เป็นสัญญาณชัดเจนว่าการติดเชื้อได้กระจายตัวออกจากบริเวณเหงือกแล้ว ทำให้ใบหน้าฝั่งนั้นบวมขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และรู้สึกเจ็บเมื่อกด
- มีหนองไหลออกมา หากลองกดเบาๆ ที่เหงือกส่วนที่บวมแล้วมีหนองสีขาวขุ่นไหลออกมา แสดงว่ามีการติดเชื้อที่รุนแรงและก่อตัวเป็นฝีหนองแล้ว
- มีไข้ หรือต่อมน้ำเหลืองใต้คอโต เมื่อการติดเชื้อเริ่มส่งผลต่อร่างกายโดยรวม คุณอาจเริ่มมีไข้ต่ำๆ รู้สึกอ่อนเพลีย และคลำเจอก้อนบวมเจ็บใต้คางหรือบริเวณลำคอ ซึ่งก็คือต่อมน้ำเหลืองที่กำลังต่อสู้กับการติดเชื้อนั่นเอง
เมื่อไหร่ที่ต้องถอนฟันคุด?
สัญญาณเตือนฟันคุด คือการไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและ เอกซเรย์ ดูฟันคุดในช่วงอายุ 18-20 ปี เพราะภาพเอกซเรย์จะแสดงให้เห็นทิศทางและตำแหน่งของฟันคุดได้อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่สุดในการวางแผนร่วมกับทันตแพทย์ว่าจะเก็บไว้หรือควรถอนออกไปเพื่อป้องกันปัญหา “ต้องถอน” โดยด่วน (มีอาการหรือเกิดปัญหาขึ้นแล้ว) หากคุณมีอาการเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หมายความว่าฟันคุดกำลังสร้างปัญหาและจำเป็นต้องรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อเอาออกโดยเร็วที่สุด
- เกิดการอักเสบติดเชื้อซ้ำซาก
- ทำให้ฟันซี่ข้างเคียงผุ
- ตรวจพบถุงน้ำหรือเนื้องอก
- เป็นสาเหตุของโรคเหงือกรุนแรง
- มีอาการปวดไม่ทราบสาเหตุ
ขั้นตอนการถอนฟันคุดเป็นอย่างไร? เจ็บไหม?
ขั้นตอนการถอน/ผ่าฟันคุด เป็นอย่างไร? กระบวนการทั้งหมดสามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลักๆ ดังนี้
1 ก่อนวันผ่าตัด (การเตรียมตัว)
- ตรวจและเอกซเรย์ ทันตแพทย์จะตรวจช่องปากและทำการเอกซเรย์เพื่อดูตำแหน่ง ทิศทาง และความสัมพันธ์ของฟันคุดกับเส้นประสาทและฟันข้างเคียง เพื่อวางแผนการรักษาที่ปลอดภัยที่สุด
- ซักประวัติ คุณหมอจะซักประวัติสุขภาพ โรคประจำตัว และยาที่แพ้ เพื่อประเมินความพร้อมของร่างกาย
- เคลียร์ช่องปาก (ถ้าจำเป็น) หากมีหินปูนหรือการอักเสบมาก ทันตแพทย์อาจทำการขูดหินปูนก่อน เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อหลังผ่าตัด
2 ในวันผ่าตัด (ขั้นตอนในห้องทันตกรรม)
กระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับความยากง่ายของฟันคุดแต่ละซี่
- การฉีดยาชา (Anesthesia)
- ขั้นตอน ทันตแพทย์จะทายาชาชนิดเจลก่อน แล้วจึงฉีดยาชาบริเวณรอบๆ ฟันคุดที่จะทำการผ่าตัด และจะรอประมาณ 5-10 นาทีเพื่อให้ยาชาออกฤทธิ์เต็มที่
- การเปิดเหงือก (Incision)
- ขั้นตอน เมื่อยาชาออกฤทธิ์เต็มที่ ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือกรีดเปิดเหงือกเล็กน้อยเพื่อให้เห็นตัวฟันคุดที่อยู่ข้างใต้
- การกรอฟันและกระดูก (Tooth/Bone Sectioning)
- ขั้นตอน นี่คือขั้นตอนที่หลายคนกลัวที่สุด หากฟันคุดมีขนาดใหญ่หรืออยู่ในมุมที่นำออกยาก ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือกรอฟันเพื่อ “แบ่งฟันคุดออกเป็นชิ้นเล็กๆ” เพื่อให้สามารถนำออกมาจากเบ้ากระดูกได้ง่ายขึ้น ซึ่งเป็นเทคนิคที่ช่วยลดการกระทบกระเทือนต่อเนื้อเยื่อรอบๆ ได้ดีกว่าการพยายามงัดออกมาทั้งซี่
- การนำฟันออก (Extraction)
- ขั้นตอน ทันตแพทย์จะใช้เครื่องมือค่อยๆ คีบหรือโยกชิ้นส่วนของฟันคุดออกมาทีละชิ้นจนหมด
- การล้างและเย็บแผล (Suturing)
- ขั้นตอน หลังจากนำฟันออกหมดแล้ว ทันตแพทย์จะล้างทำความสะอาดเบ้าฟันให้ปราศจากเศษกระดูกหรือเศษฟัน แล้วจึงเย็บปิดปากแผลด้วยไหมเย็บแผล
3 หลังการผ่าตัด (การดูแลตัวเอง)
ความเจ็บปวดที่แท้จริงจะเริ่มขึ้นเมื่อยาชาหมดฤทธิ์ (ประมาณ 2-4 ชั่วโมงหลังผ่าตัด)
- การจัดการความเจ็บปวด
- ทันตแพทย์จะสั่ง ยาแก้ปวดประสิทธิภาพสูง ให้คุณทานทันทีก่อนยาชาหมดฤทธิ์ และทานต่อเนื่องตามที่คุณหมอสั่ง
- ประคบเย็น บริเวณแก้มข้างที่ผ่าตัดใน 24-48 ชั่วโมงแรกเพื่อช่วยลดบวมและลดปวด
- กัดผ้าก๊อซให้แน่นประมาณ 1 ชั่วโมงเพื่อห้ามเลือด
- รับประทานอาหารอ่อนๆ และพักผ่อนให้เพียงพอ
สรุป
- ระหว่างทำ ไม่เจ็บ เพราะฤทธิ์ของยาชา (แต่จะรู้สึกถึงแรงกดและแรงสั่น)
- หลังทำ เจ็บ เมื่อยาชาหมดฤทธิ์ แต่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวดที่ทันตแพทย์สั่งให้
สัญญาณเตือนฟันคุด หากระหว่างขั้นตอนการผ่าตัด คุณเริ่มรู้สึกเจ็บแปลบๆ ขึ้นมา (ซึ่งเกิดขึ้นได้น้อยมาก) คุณสามารถยกมือขึ้นเพื่อเป็นสัญญาณบอกทันตแพทย์ได้ทันที คุณหมอจะหยุดและฉีดยาชาเพิ่มให้ทันทีด้วยเทคนิคและยาชาในปัจจุบัน การถอนหรือผ่าฟันคุดจึงไม่ได้น่ากลัวเหมือนในอดีตแล้ว
สัญญาณเตือนฟันคุด จะขึ้นเต็มที่เมื่ออายุเท่าไหร่?
ช่วงอายุที่ฟันคุดมักจะขึ้นเต็มที่หรือปรากฏให้เห็นในช่องปากคือประมาณ 17-25 ปี อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงช่วงอายุโดยเฉลี่ยเท่านั้น
- บางคนอาจจะขึ้นเร็ว บางรายอาจเริ่มมีฟันคุดโผล่ขึ้นมาตั้งแต่อายุ 12-13 ปี หรือช่วงวัยรุ่นตอนต้น
- บางคนอาจจะขึ้นช้า บางรายอาจเจอฟันคุดในอายุ 30 ปี หรือมากกว่านั้นก็มี
- บางคนไม่มีฟันคุดเลย อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ บางคนอาจไม่มีหน่อฟันคุดเกิดขึ้นมาตั้งแต่แรกเนื่องจากพันธุกรรม
- ฟันคุดฝัง (Impacted Wisdom Teeth) ในหลายๆ กรณี ฟันคุดอาจมีอยู่จริง (มีหน่อฟัน) แต่ไม่สามารถขึ้นมาในช่องปากได้เต็มที่ อาจจะขึ้นมาเพียงบางส่วน ขึ้นเอียง หรือฝังตัวอยู่ในกระดูกขากรรไกรทั้งหมด ทำให้เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า การจะทราบว่ามีฟันคุดหรือไม่ และอยู่ในตำแหน่งใด ต้องอาศัยการเอกซเรย์เท่านั้น
ช่วงอายุที่เหมาะสมที่สุดในการตรวจประเมินและวางแผนการรักษาฟันคุดคือประมาณ 15-20 ปี เพราะเป็นช่วงที่รากฟันคุดกำลังสร้างเสร็จสมบูรณ์เพียงครึ่งเดียวหรือยังไม่สมบูรณ์ ทำให้กระดูกบริเวณนั้นยังมีความยืดหยุ่นและรากฟันยังไม่ยาวมาก การผ่าตัดฟันคุดในช่วงนี้มักจะทำได้ง่ายกว่า แผลหายเร็ว และมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการผ่าฟันคุดเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งกระดูกแข็งขึ้นและรากฟันยาวใกล้ชิดกับเส้นประสาทมากขึ้น
หลังถอนฟันคุดต้องดูแลตัวเองอย่างไร?
สัญญาณเตือนฟันคุด การดูแลตัวเองหลังถอนหรือผ่าฟันคุดเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะช่วยลดความเจ็บปวด ลดบวม ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ และทำให้แผลหายได้เร็วที่สุด นี่คือคู่มือการดูแลตัวเองฉบับสมบูรณ์ที่คุณสามารถปฏิบัติตามได้ง่ายๆ แบ่งตามช่วงเวลา
24 ชั่วโมงแรก ช่วงเวลาสำคัญที่สุดในการควบคุมเลือดและอาการบวม
- กัดผ้าก๊อซให้แน่นและนิ่ง กัดผ้าก๊อซที่ทันตแพทย์ใส่ให้ต่อเนื่องประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้แรงกดช่วยห้ามเลือดหากเลือดยังไหลซึมอยู่ ให้เปลี่ยนผ้าก๊อซชิ้นใหม่ที่สะอาด พับให้หนาพอดี แล้วกัดต่ออีกประมาณ 30-60 นาที ข้อห้าม อย่าบ้วนน้ำลายหรือพูดคุยบ่อยๆ เพราะจะรบกวนการแข็งตัวของลิ่มเลือด
- การประคบเย็น ใช้แผ่นเจลเย็นหรือน้ำแข็งห่อผ้า ประคบบริเวณแก้มข้างที่ผ่าตัด ทำต่อเนื่องให้บ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยใช้วิธี ประคบ 15-20 นาที สลับกับพัก 15-20 นาที การประคบเย็นจะช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ลดอาการบวมและลดปวดได้ดีที่สุดในช่วงแรก
- การรับประทานยา ทานยาแก้ปวดทันที ควรทานยาแก้ปวดที่ได้รับมา ก่อนที่ยาชาจะหมดฤทธิ์ เพื่อป้องกันอาการปวดรุนแรงที่จะตามมา และทานต่อเนื่องตามที่คุณหมอสั่ง ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อ) หากได้รับมา ต้องทานให้หมด ตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- การรับประทานอาหาร ทาน อาหารเหลวหรืออาหารอ่อนๆ ที่ไม่ต้องเคี้ยว และควรเป็นอาหารที่เย็นหรืออุณหภูมิห้อง เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม, โยเกิร์ต, ไอศกรีม, น้ำผลไม้ ข้อห้าม ห้ามทานอาหารร้อนจัดหรือรสจัด เพราะจะกระตุ้นให้เลือดไหลมากขึ้น และห้ามใช้หลอดดูด เพราะแรงดูดอาจทำให้ลิ่มเลือดหลุดได้
- ข้อห้ามสำคัญอื่นๆ ใน 24 ชั่วโมงแรก ห้ามบ้วนปากหรือแปรงฟัน เพื่อไม่ให้ลิ่มเลือดที่กำลังก่อตัวหลุด ห้ามสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะขัดขวางกระบวนการหายของแผลอย่างรุนแรง ห้ามออกกำลังกายหนัก หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมาก
หลัง 24 ชั่วโมงไปแล้ว (วันที่ 2 เป็นต้นไป)
- เริ่มทำความสะอาดช่องปากอย่างนุ่มนวล คุณสามารถ เริ่มบ้วนปากเบาๆ ด้วยน้ำเกลืออุ่น (เกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำอุ่น 1 แก้ว) หลังอาหารและก่อนนอน เพื่อช่วยทำความสะอาดและฆ่าเชื้อ เริ่มแปรงฟันได้แล้ว แต่ให้แปรงอย่างระมัดระวัง โดย หลีกเลี่ยงบริเวณแผลผ่าตัดโดยตรง
- การประคบอุ่น (หลังจาก 48 ชั่วโมง) หากยังมีอาการบวมอยู่ หลังจาก 48 ชั่วโมงแรกไปแล้ว ให้เปลี่ยนจากการประคบเย็นเป็น การประคบอุ่น ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นประคบบริเวณแก้ม จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยลดอาการบวมที่คั่งค้างอยู่ได้
- การรับประทานอาหาร ยังคงเน้นอาหารอ่อนต่อไป แต่สามารถเริ่มทานอาหารที่มีเนื้อสัมผัสมากขึ้นได้ เช่น ไข่ตุ๋น, ปลาเนื้อนิ่ม ค่อยๆ กลับไปรับประทานอาหารปกติเมื่อรู้สึกว่าเคี้ยวได้โดยไม่เจ็บแผล
อาการแบบไหนที่ควรกลับไปพบทันตแพทย์ ?
โดยปกติอาการปวดและบวมจะมากที่สุดใน 2-3 วันแรกแล้วจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่หากคุณมีอาการเหล่านี้ ควรรีบติดต่อคลินิกหรือกลับไปพบทันตแพทย์ทันที:
- เลือดไหลไม่หยุดหลังจากผ่านไป 24 ชั่วโมง
- มีอาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หลังจากวันที่ 3 (อาจเป็นสัญญาณของภาวะกระดูกเบ้าฟันอักเสบ หรือ Dry Socket)
- มีไข้สูงและหนาวสั่น
- มีหนองไหลออกจากแผล
- อาการบวมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังผ่านไป 3 วัน
หลายคนมักนึกถึง สัญญาณเตือนฟันคุด ความเจ็บปวดและความกังวลใจในการผ่าตัด แต่ปัญหาเหล่านี้สามารถจัดการได้อย่างปลอดภัยและนุ่มนวล หากได้รับการดูแลจากทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ ที่ identistclinic เราจึงพร้อมมอบประสบการณ์การรักษาที่คุณจะรู้สึกปลอดภัยและเจ็บน้อยที่สุด ด้วยบริการดูแลปัญหาฟันคุดแบบครบวงจร ที่ iDentist Clinic เรามีทีมทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือที่ทันสมัย พร้อมให้การรักษาฟันคุดของคุณอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ช่วยดูแลคุณ ด้วยมาตรฐานการรักษาที่ปลอดภัยและใส่ใจในทุกรายละเอียด ติดต่อเราเพื่อนัดหมายปรึกษาและวางแผนการรักษา @iDentistClinic