ทันตกรรมโรคเหงือกอักเสพ
เลือกหัวข้อทันตกรรมโรคเหงือกอักเสพ
iDentist Dental Clinic
เหงือกบวมและอักเสบ: สาเหตุ วิธีการรักษา และการป้องกันที่ควรรู้
ทำไมเหงือกถึงบวมและอักเสบ? อาการเป็นอย่างไร?
อาการเหงือกบวมและอักเสบคงเป็นเรื่องที่ทุกคนไม่อยากประสบพบเจอ เพราะมันทำให้รู้สึกเจ็บปวดราวกับโลกหยุดหมุนไปชั่วขณะ ไม่ว่าจะเป็นการปวดเหงือกที่มีอาการบวมแดง หรือการเลือดออกขณะแปรงฟัน ความเจ็บปวดที่เกิดจากอาการเหล่านี้ทำให้เราต้องระวังไม่ให้มันกลายเป็นปัญหาที่รุนแรงจนต้องเสียฟันไปในที่สุด แต่เราจะสามารถรักษาและป้องกันอาการนี้ได้อย่างไรบ้าง?

เหงือกคืออะไร? ทำไมถึงสำคัญ?
อาการของโรคเหงือกอักเสบและบวม

เหงือกบวม อักเสบ เกิดจากอะไร?
ศัลยกรรมปริทันต์
รักษาโรคเหงือก
1 ครั้ง / 1,500 – 3,500
ประเภทของอาการเหงือกบวมที่ควรระวัง
หลายคนอาจจะสงสัยว่า ถ้าเกิดเหงือกบวมขึ้นมา จะรู้ได้ยังไงว่าเป็นแค่การบวมธรรมดาหรือเริ่มมีปัญหาที่ต้องให้ความสนใจ เพราะบางครั้งเหงือกบวมอาจไม่มีอาการปวดตามมาเลย หรือแสดงอาการไม่ชัดเจน เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่าเหงือกที่บวมจนเกิดการติดเชื้อหรือมีปัญหานั้น จะมีลักษณะอย่างไรบ้าง
เหงือกบวมแดงและอักเสบ
เหงือกที่มีอาการบวมแดงจะเปลี่ยนสีจากปกติเป็นสีแดงเข้ม หรือแม้กระทั่งสีม่วง และจะค่อย ๆ บวมขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณรอบ ๆ ฟัน หากมีการสัมผัสหรือกดที่เหงือกที่บวม อาจทำให้เกิดอาการเจ็บ หรือมีเลือดออกขณะแปรงฟัน และบางครั้งอาจมีปัญหาฟันผูกร่วมด้วย
เหงือกบวมและมีหนอง
เมื่อเหงือกบวมจนเกิดหนอง นอกจากอาการบวมแล้ว จะมีหนองไหลออกมาด้วย เนื่องจากการติดเชื้อที่เหงือก เมื่อเกิดการอักเสบ หน้าของเหงือกจะมีสีคล้ำ และขอบเหงือกจะเริ่มเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม เมื่อกดหรือสัมผัสที่บริเวณนี้จะมีหนองออกมา ซึ่งบ่งชี้ถึงการติดเชื้อที่ต้องได้รับการรักษา
อาการรากฟันอักเสบ
เมื่อรากฟันเกิดอาการอักเสบ จะมีการบวมที่บริเวณเหงือก และอาจมีหนองขณะสัมผัสที่จุดนั้นด้วย ฟันอาจจะเริ่มมีสีคล้ำ หรือรู้สึกเจ็บเวลาเคี้ยวอาหาร หรือเมื่อสัมผัสฟันที่เกิดอาการเสียว การอักเสบในรากฟันอาจทำให้เกิดปัญหาเพิ่มเติมที่ต้องให้ความสนใจ
หากปล่อยอาการเหล่านี้ไว้โดยไม่รักษา อาจมีผลต่อการสูญเสียฟัน หรือทำให้เกิดปัญหาที่รุนแรงขึ้น เช่น การติดเชื้อในเหงือกที่ลามไปถึงมะเร็งในช่องปาก ดังนั้นควรใส่ใจอาการเหล่านี้และไม่มองข้าม หากไม่รักษาทันที อาจนำไปสู่ผลกระทบที่ร้ายแรงได้ค่ะ
โรคเหงือกที่ต้องระวัง สัญญาณเตือนที่คุณไม่ควรมองข้าม
โรคเหงือกเป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนอาจมองข้าม แต่จริงๆ แล้วเป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุ ดังนั้นสิ่งสำคัญที่เราต้องรู้คือโรคเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และมีความเสี่ยงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับโรคที่เกี่ยวกับเหงือกและวิธีการป้องกันกันค่ะ
โรคปริทันต์ ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม
โรคปริทันต์ หรือที่บางคนเรียกว่า “โรครำมะนาด” เป็นการอักเสบที่เกิดขึ้นในช่องปาก โดยเฉพาะเหงือก ฟัน และรากฟัน ซึ่งเกิดจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์จากอาหารและน้ำลาย โรคนี้จะรุนแรงกว่าโรคเหงือกอักเสบ เพราะเป็นการอักเสบเรื้อรังที่ค่อยๆ ทำลายกระดูกและเนื้อเยื่อเหงือกอย่างช้าๆ โดยที่ผู้ป่วยอาจไม่รู้ตัว จนกระทั่งมีอาการบวมและติดเชื้อ หรือบางครั้งอาจพบเลือดออกจากไรฟัน ปวดฟัน กลิ่นปากแรง ฟันเริ่มโยกหรือห่างออกจากกัน จนต้องถอนฟันออกในบางกรณี
สาเหตุหลักของโรคปริทันต์คือการสะสมของคราบจุลินทรีย์จากอาหารและน้ำลาย ดังนั้นวิธีรักษาคือการขูดหินปูนและเกลารากฟันเพื่อลดการสะสมของแบคทีเรีย แต่เนื่องจากโรคนี้ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้เพราะแบคทีเรียสามารถกลับมาใหม่ได้ การดูแลรักษาความสะอาดช่องปากด้วยการแปรงฟันให้ถูกวิธีและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคนี้

โรคเหงือกอักเสบ สัญญาณแรกของปัญหาสุขภาพในช่องปาก
โรคเหงือกอักเสบเกิดจากการระคายเคืองที่เหงือก ซึ่งในช่วงแรกจะทำให้เหงือกบวมและอาจมีเลือดออกได้ง่าย เมื่อปล่อยไว้นานๆ จะทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังและอาจนำไปสู่ปัญหาที่รุนแรงกว่าได้ วิธีสังเกตว่าคุณกำลังมีปัญหากับเหงือกคือการดูที่สีของเหงือก โดยปกติแล้วเหงือกจะมีสีชมพู แต่หากเปลี่ยนเป็นสีแดงเข้มหรือม่วง บวม และมีเลือดออก นั่นหมายความว่าเหงือกของคุณกำลังมีอาการอักเสบแล้วค่ะ
การดูแลสุขภาพเหงือกสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟันขจัดเศษอาหารในซอกฟัน และหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่หรือการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูงซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกอักเสบได้ค่ะ
วิธีดูแลเหงือกอักเสบเบื้องต้นที่คุณทำได้เอง
หลายคนอาจจะเริ่มตกใจเมื่อพบว่าเหงือกของตัวเองมีอาการผิดปกติใช่ไหมคะ? แต่จริงๆ แล้วถ้าสังเกตเห็นอาการในช่วงเริ่มต้น มันก็ยังไม่ถึงกับน่ากลัวนักนะ เพราะยังสามารถรักษาได้ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง ด้วยวิธีดังนี้
- ใช้น้ำยาบ้วนปากฆ่าเชื้อแบคทีเรียและคราบจุลินทรีย์ที่เกิดจากเศษอาหาร
- ดื่มน้ำสะอาดวันละ 8 แก้ว เพื่อช่วยกระตุ้นการผลิตน้ำลายและลดอาการเหงือกอักเสบ
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ที่อาจทำให้เหงือกแย่ลง
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะน้ำตาลเป็นสาเหตุหลักของฟันผุ
- หากมีอาการบวมที่เหงือก ใช้ผ้าชุบน้ำเย็นหรือประคบด้วยน้ำแข็งเพื่อบรรเทาอาการ
- หากมีอาการปวด สามารถทานยาแก้ปวดเช่นพาราเซตามอลได้ แต่ควรอ่านคำแนะนำการใช้ยาอย่างถูกวิธี
แต่ถ้าหากอาการเหงือกอักเสบของคุณเริ่มหนักขึ้น หรือมีอาการปวดรุนแรงเกินไป แนะนำให้ไปพบทันตแพทย์ เพราะการรักษาเองในบางกรณีอาจจะไม่ได้ผลค่ะ และห้ามซื้อยามารักษาเองนะคะ
การรักษาเหงือกอักเสบจากทันตแพทย์
หากอาการเหงือกอักเสบของคุณเป็นเรื้อรังหรือมีอาการปวดมากจนไม่สามารถจัดการเองได้ ก็ถึงเวลาที่ต้องไปพบทันตแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี โดยอาจมีขั้นตอนดังนี้
- ทันตแพทย์อาจจะให้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยารับประทาน ยาบ้วนปาก หรือยาที่ช่วยลดอาการเหงือกอักเสบโดยตรง
- หากมีอาการเหงือกร่น หรือเนื้อเยื่อเหงือกเสียหาย ทันตแพทย์อาจต้องทำการผ่าตัดปลูกถ่ายเหงือกเพื่อฟื้นฟูสภาพเหงือกให้กลับมาดีเหมือนเดิม
- การขูดคราบหินปูนหรือเกลารากฟัน เพื่อกำจัดสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่บริเวณซอกฟัน
- หากตรวจพบมะเร็งในช่องปาก ทันตแพทย์จะใช้วิธีการฉายแสงบำบัดหรือเคมีบำบัด หรืออาจใช้ทั้งสองวิธีร่วมกันเพื่อรักษาให้ได้ผลดีที่สุด
อย่าตกใจไปนะคะ ทุกคนสามารถป้องกันอาการเหงือกอักเสบได้ด้วยการดูแลความสะอาดในช่องปากอย่างดี การป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ ถือเป็นการดูแลสุขภาพที่ดีที่สุดค่ะ
วิธีป้องกันเหงือกบวมและอักเสบอย่างง่าย
ถ้าเราต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างการป้องกันที่ดี! มาดูกันว่าเราจะป้องกันอาการเหงือกบวมและอักเสบได้อย่างไร
- แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง หรือหลังมื้ออาหาร พร้อมทั้งแปรงฟันให้ถูกวิธี เพื่อขจัดคราบแบคทีเรียและเศษอาหารที่อาจก่อให้เกิดปัญหาฟันและเหงือก
- ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินซีสูง ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเหงือกและฟัน
- ไปพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือน เพื่อตรวจเช็กสุขภาพช่องปากและรับคำแนะนำในการดูแลช่องปากอย่างถูกวิธี
- สังเกตอาการผิดปกติของฟันและเหงือกเพื่อการรักษาทันที รวมถึงหลีกเลี่ยงน้ำอัดลมและอาหารหวานซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันผุ
- ใช้น้ำยาบ้วนปากสูตรอ่อนโยน เพื่อลดการระคายเคือง หรือใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดเศษอาหารและคราบพลัคที่แปรงฟันไม่สามารถขจัดได้
ฟังแล้วคุณคงอยากไปตรวจดูสุขภาพช่องปากของตัวเองใช่ไหมคะ? ถ้าคุณเคยแปรงฟันไม่สะอาดหรือไม่แปรงหลังมื้ออาหาร ถึงเวลาต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วล่ะ! หากคุณไม่ดูแลให้ดีอาจต้องเสียเงินค่ารักษาในภายหลังโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ ใครที่อยากเริ่มต้นดูแลช่องปากอย่างจริงจัง ลองนำวิธีการที่เรานำเสนอไปใช้กันดูนะคะ
อย่าลืมนะคะ การไปพบทันตแพทย์ทุก 6 เดือนเป็นเรื่องสำคัญมาก! ถ้าคุณไม่อยากมีอาการปวดฟันที่ทรมานจนถึงขั้นไม่อยากทำอะไรเลย ก็อย่าละเลยการตรวจเช็กสุขภาพช่องปากอย่างสม่ำเสมอค่ะ เราเตือนคุณแล้วนะ
Q & A คำถามที่พบบ่อยๆ
คือภาวะที่เหงือกเกิดการอักเสบติดเชื้อ ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ (Plaque) และหินปูน (Tartar) ตามบริเวณคอฟันและซอกฟัน
ไม่เหมือนกัน “เหงือกอักเสบ” (Gingivitis) เป็นระยะเริ่มต้นของโรคเหงือก เหงือกจะบวมแดงและมีเลือดออกง่าย แต่ยังไม่มีการทำลายกระดูก “โรคปริทันต์อักเสบ” (Periodontitis) เป็นระยะที่รุนแรงขึ้น การอักเสบได้ลุกลามไปทำลายกระดูกและเนื้อเยื่อรอบรากฟันแล้ว ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ฟันโยกและหลุดได้
สาเหตุหลักคือ คราบจุลินทรีย์ หรือแบคทีเรียที่เกาะบนผิวฟัน หากเราแปรงฟันไม่สะอาด คราบนี้จะแข็งตัวกลายเป็น หินปูน ซึ่งเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคชั้นดีและทำให้เหงือกอักเสบ
สัญญาณเตือนที่ชัดเจนที่สุดคือ มีเลือดออกขณะแปรงฟันหรือใช้ไหมขัดฟัน นอกจากนี้อาจมีอาการเหงือกบวมแดง, มีกลิ่นปาก, และรู้สึกเจ็บเหงือกเล็กน้อย
ไม่ควรหยุดแปรง! เลือดออกเป็นสัญญาณว่าบริเวณนั้นมีคราบจุลินทรีย์สะสมและอักเสบอยู่ ยิ่งต้องตั้งใจแปรงและใช้ไหมขัดฟันให้สะอาดขึ้นเพื่อกำจัดคราบที่เป็นสาเหตุออกไป หากอาการไม่ดีขึ้นใน 1-2 สัปดาห์ ควรรีบมาพบทันตแพทย์
แบ่งง่ายๆ ได้ 2 ระยะ คือ
- ระยะเหงือกอักเสบ (Gingivitis): เป็นระยะเริ่มต้น รักษาให้หายเป็นปกติได้ 100%
- ระยะปริทันต์อักเสบ (Periodontitis): มีการทำลายกระดูกรอบรากฟันไปแล้ว ซึ่งจะรักษาให้กระดูกกลับมาเหมือนเดิมไม่ได้ ทำได้เพียงหยุดยั้งไม่ให้โรคลุกลามไปมากกว่านี้
จากเหงือกอักเสบจะพัฒนากลายเป็นโรคปริทันต์อักเสบ เหงือกจะร่น, เกิดร่องลึกระหว่างเหงือกกับฟัน (Periodontal Pocket), มีหนองไหล, ฟันโยก, และสุดท้ายฟันอาจหลุดออกมาเองได้
จริง โรคเหงือกอักเสบในระยะรุนแรง (ปริทันต์อักเสบ) เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียฟันในผู้ใหญ่เลยทีเดียว เพราะถึงแม้ตัวฟันจะไม่ผุ แต่เมื่อกระดูกที่รองรับฟันถูกทำลายไป ฟันก็จะไม่มีที่ยึดเกาะและหลุดไปในที่สุด
มีงานวิจัยจำนวนมากชี้ว่า เชื้อแบคทีเรียจากการอักเสบในช่องปากสามารถเข้าสู่กระแสเลือดและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด, โรคเบาหวาน, และภาวะคลอดก่อนกำหนดในสตรีมีครรภ์
ผู้ที่สูบบุหรี่, ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมระดับน้ำตาลได้ไม่ดี, ผู้หญิงตั้งครร
ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
- ระยะเหงือกอักเสบ: รักษาโดยการ ขูดหินปูน และสอนการดูแลความสะอาดช่องปากให้ถูกวิธี
- ระยะปริทันต์อักเสบ: รักษาโดยการ ขูดหินปูนและเกลารากฟัน (Root Planing) เพื่อกำจัดหินปูนที่อยู่ลึกใต้เหงือก ในบางกรณีอาจต้องมีการผ่าตัดเหงือก (Periodontal Surgery) ร่วมด้วย
คือการใช้เครื่องมือทำความสะอาดหินปูนและคราบจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่บนผิวรากฟัน ซึ่งอยู่ลึกลงไปในร่องเหงือก การรักษานี้จะทำภายใต้การฉีดยาชา ทำให้ไม่รู้สึกเจ็บขณะทำ
ในกรณีที่เป็นโรคปริทันต์อักเสบรุนแรง มีร่องลึกปริทันต์มากจนเครื่องมือธรรมดาไม่สามารถทำความสะอาดได้ถึง ทันตแพทย์อาจพิจารณาให้ผ่าตัดเปิดเหงือกเพื่อเข้าไปทำความสะอาดและปรับแต่งกระดูกให้ดีขึ้น
ระยะเหงือกอักเสบ (Gingivitis) สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่ ระยะปริทันต์อักเสบ (Periodontitis) ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะกระดูกที่ถูกทำลายไปแล้วไม่สามารถสร้างกลับคืนมาได้เต็มที่ การรักษาทำได้เพียงเพื่อควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามต่อไป
หัวใจสำคัญคือ การกำจัดคราบจุลินทรีย์ให้หมดจดทุกวัน ด้วยการแปรงฟันให้ถูกวิธีอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และ การใช้ไหมขัดฟัน ทำความสะอาดซอกฟันอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
สำคัญมากที่สุด เพราะการแปรงฟันอย่างเดียวไม่สามารถทำความสะอาดซอกฟันซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดโรคเหงือกได้บ่อยที่สุดได้ การใช้ไหมขัดฟันจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้เลย
ช่วยได้ในฐานะ “ตัวเสริม” แต่น้ำยาบ้วนปากไม่สามารถทดแทนการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันซึ่งเป็นการกำจัดคราบเชิงกลได้ ควรใช้ตามคำแนะนำของทันตแพทย์
ตัวโรคไม่ติดต่อโดยตรง แต่เชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุสามารถส่งผ่านทางน้ำลายได้ เช่น การใช้ช้อนหรือแก้วน้ำร่วมกัน
โดยทั่วไปแนะนำให้พบทันตแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและขูดหินปูน ทุกๆ 6 เดือน แต่ในผู้ป่วยโรคปริทันต์อาจต้องมาบ่อยกว่านั้น เช่น ทุก 3-4 เดือน ตามคำแนะนำของทันตแพทย์
การป้องกันและการรักษาในระยะเริ่มต้น (ขูดหินปูน) มีค่าใช้จ่ายไม่สูงและสามารถใช้สิทธิ์เบิกจ่ายได้ แต่หากปล่อยให้ลุกลามจนต้องเกลารากฟันหรือผ่าตัด ค่าใช้จ่ายจะสูงขึ้นมากและซับซ้อนกว่าเยอะ ดังนั้น “กันไว้ดีกว่าแก้” แน่นอน