ทำฟัน จัดฟัน นัดปรึกษาฟรี : @iDentistClinic

การรักษารากฟัน คืออะไร สาเหตุ อาการ วิธีการรักษา

การรักษารากฟัน

รักษารากฟัน คืออะไร

การ รักษารากฟัน หรือที่เรียกว่า Endodontic Treatment คือ กระบวนการทางทันตกรรมที่ใช้ในการรักษาฟันที่ได้รับความเสียหายจากการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณเนื้อเยื่อในโพรงฟันและคลองรากฟัน ซึ่งเนื้อเยื่อเหล่านี้ประกอบด้วยเส้นประสาทและหลอดเลือด

รู้จักส่วนประกอบของรากฟัน

รากฟันเป็นส่วนสำคัญของฟันที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรและถูกปกคลุมด้วยเหงือก ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกช่องปาก แม้จะอยู่ภายใน แต่รากฟันก็มีส่วนประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้ฟันคงอยู่ในช่องปากได้อย่างมั่นคง และทำหน้าที่ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ลองมาดูกันว่าส่วนประกอบหลักของรากฟันมีอะไรบ้าง:

  1. เคลือบรากฟัน (Cementum) เป็นชั้นที่อยู่ด้านนอกสุดของรากฟัน มีความแข็งแรงน้อยกว่าเคลือบฟัน (Enamel) ที่หุ้มส่วนตัวฟัน หน้าที่หลักคือเป็นจุดยึดเกาะของเส้นเอ็นปริทันต์ (Periodontal Ligament) ซึ่งจะช่วยยึดรากฟันเข้ากับกระดูกเบ้าฟัน
  2. เนื้อฟัน (Dentin) เป็นชั้นที่อยู่ถัดเข้ามาจากเคลือบรากฟัน (และถัดจากเคลือบฟันในส่วนตัวฟัน) เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อฟัน มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับโพรงประสาทฟัน ทำให้เนื้อฟันมีความไวต่อความรู้สึก เช่น ความร้อน ความเย็น หรือแรงกด เนื้อฟันในส่วนรากฟันจะมีความต่อเนื่องกับเนื้อฟันในส่วนตัวฟัน
  3. คลองรากฟัน (Root Canal) เป็นส่วนที่อยู่ภายในเนื้อฟัน เป็นช่องทางยาวที่ต่อเนื่องมาจากโพรงประสาทฟัน (Pulp Chamber) ในส่วนตัวฟัน ไปจนถึงปลายรากฟัน

ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรากฟัน (แต่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตัวรากฟันโดยตรง)

  • กระดูกเบ้าฟัน (Alveolar Bone) เป็นส่วนหนึ่งของกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่รองรับและเป็นเบ้าที่รากฟันฝังอยู่  มีความพรุนและมีรูปร่างที่เหมาะสมกับรากฟันแต่ละซี่
  • เอ็นยึดปริทันต์ (Periodontal Ligament – PDL) เป็นเนื้อเยื่อเส้นใยเล็กๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างเคลือบรากฟันกับกระดูกเบ้าฟัน ทำหน้าที่สำคัญในการยึดฟันให้อยู่กับที่ และช่วยรับแรงกระแทกจากการบดเคี้ยวอาหาร

การที่รากฟันและโครงสร้างรอบๆ มีสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงและการใช้งานของฟัน หากรากฟันติดเชื้อหรือเสียหายอย่างรุนแรง ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษารากฟันเพื่อรักษาฟันซี่นั้นไว้

ทำไมถึงต้องรักษารากฟัน 

  • ฟันผุลึก จนทะลุถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้แบคทีเรียเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในฟัน เกิดการอักเสบและติดเชื้อ
  • ฟันแตกหรือหัก ทำให้เนื้อเยื่อในฟันสัมผัสกับเชื้อโรค
  • ฟันได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ทำให้เนื้อเยื่อในฟันเสียหายหรือตาย

การรักษา รากฟันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการ กำจัดแหล่งที่มาของการติดเชื้อ บรรเทาอาการปวด ป้องกันการลุกลามของโรค และที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยเก็บรักษาฟันธรรมชาติเอาไว้ ไม่ต้องถอนฟันออกไป ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพช่องปากและฟันในระยะยาว

สาเหตุของการติดเชื้อที่คลองรากฟัน

การติดเชื้อที่คลองรากฟัน หรือที่เรียกว่า โพรงประสาทฟันอักเสบ (Pulpitis) เกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ด้านในสุดของฟัน ประกอบด้วยเส้นประสาท เส้นเลือด และท่อน้ำเหลือง หากปล่อยทิ้งไว้ เชื้อโรคจะลุกลามลงไปถึงปลายรากฟันและกระดูกรอบๆ ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง บวม และอาจเกิดเป็นฝีได้

สาเหตุหลักของการติดเชื้อที่คลองรากฟัน ได้แก่

  1. ฟันผุลึกมาก เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อฟันผุไม่ได้รับการรักษาและลุกลามลงไปเรื่อยๆ จนทะลุถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่โพรงประสาทฟันได้โดยตรง
  2. ฟันแตก/ร้าว/บิ่น การได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่ฟัน เช่น การกระแทกอย่างรุนแรง การเคี้ยวของแข็งมากๆ หรือการนอนกัดฟัน อาจทำให้ฟันเกิดรอยร้าวหรือแตกหักเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในโพรงประสาทฟันได้
  3. โรคเหงือกอักเสบรุนแรง หากโรคเหงือกไม่ได้รับการรักษาและลุกลามจนทำลายกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน อาจทำให้แบคทีเรียเข้าสู่รากฟันได้
  4. การรักษาฟันที่ไม่สมบูรณ์ในอดีต ในบางกรณี การรักษาฟันที่เคยทำไปแล้วอาจไม่สมบูรณ์ หรือมีเชื้อโรคตกค้างอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อซ้ำได้
  5. ฟันสึกมาก การสึกของฟันอย่างรุนแรง เช่น จากการนอนกัดฟัน หรือการแปรงฟันที่ผิดวิธี อาจทำให้เนื้อฟันบางลงและเชื้อโรคสามารถเข้าถึงโพรงประสาทฟันได้ง่ายขึ้น

เมื่อเกิดการติดเชื้อที่คลองรากฟัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อโรคอาจลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพที่รุนแรงได้ ดังนั้น หากมีอาการปวดฟันรุนแรง ฟันเปลี่ยนสี เหงือกบวม มีตุ่มหนอง หรือมีประวัติได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาโดยเร็วที่สุด

อาการแบบไหนที่บอกว่าคุณอาจต้องรักษารากฟัน

การรักษา รากฟัน (Root Canal Treatment) เป็นการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียและเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อภายในโพรงประสาทฟันและคลองรากฟัน และรักษาฟันซี่นั้นไว้ไม่ให้ต้องถอนทิ้ง อาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษา รากฟัน ได้แก่

  1. อาการปวดฟันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
  2. เสียวฟันหรือปวดฟันต่อสิ่งกระตุ้น
  3. เหงือกบวมหรือมีตุ่มหนอง
  4. ฟันเปลี่ยนสี
  5. ฟันผุลึกมาก
  6. เจ็บเมื่อกดหรือเคาะที่ฟัน
  7. มีอาการบวมที่ใบหน้าหรือลำคอ

ข้อควรระวัง

  • บางครั้ง อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏในผู้ป่วยทุกราย หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าไม่มีปัญหา แต่การติดเชื้อในโพรงประสาทฟันอาจดำเนินต่อไปโดยไม่มีอาการรุนแรงในระยะแรกๆ
  • หากคุณมีอาการใดๆ ข้างต้น ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด การรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยรักษาฟันของคุณไว้ได้ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า เช่น การติดเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย

ประเภทของการรักษารากฟัน

การรักษา รากฟันมีวัตถุประสงค์หลักคือการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือตายในโพรงประสาทฟันและคลองรากฟัน เพื่อรักษาฟันซี่นั้นไว้ไม่ให้ต้องถอนทิ้ง โดยทั่วไปแล้ว การรักษา รากฟันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ

  1. การรักษารากฟันด้วยวิธีปกติ (Conventional Root Canal Treatment / Non-surgical Root Canal Treatment) เป็นวิธีการรักษาที่พบบ่อยที่สุดและเป็นมาตรฐาน โดยทันตแพทย์จะเข้าถึงโพรงประสาทฟันผ่านทางด้านบนของตัวฟัน (โดยการกรอเปิดฟัน) จากนั้นจะทำการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือตายออกให้หมด ทำความสะอาดคลองรากฟันด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และขึ้นรูปคลองรากฟันให้เหมาะสมกับการอุด เมื่อคลองรากฟันสะอาดและปราศจากการติดเชื้อแล้ว ทันตแพทย์จะทำการอุดคลองรากฟันด้วยวัสดุพิเศษ (ส่วนใหญ่คือ Gutta-percha) เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ หลังจากนั้นจึงจะบูรณะตัวฟันที่เหลือด้วยการอุดฟัน หรือทำครอบฟัน เพื่อคืนความแข็งแรงและใช้งานได้ตามปกติ
  2. การรักษารากฟันด้วยวิธีการผ่าตัดปลายรากฟัน (Apicoectomy / Root-end Resection): การรักษา รากฟันประเภทนี้จะทำเมื่อการรักษา รากฟันด้วยวิธีปกติไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือล้มเหลว เช่น มีการติดเชื้อหรือการอักเสบที่ปลายรากฟันที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีปกติ, มีความผิดปกติทางกายวิภาคของคลองรากฟันที่ไม่สามารถเข้าถึงได้, มีการหักของเครื่องมือในคลองรากฟัน, หรือมีการติดเชื้อซ้ำหลังจากการรักษา รากฟันปกติแล้ว

การเตรียมตัวก่อนการรักษาฟัน

การเตรียมตัวที่ดีก่อนการรักษาฟัน ไม่ว่าจะเป็นการอุดฟัน ถอนฟัน รักษา รากฟัน หรือการรักษาอื่นๆ มีความสำคัญอย่างมากเพื่อความราบรื่น ปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรักษา รวมถึงความสบายใจของผู้ป่วยเองด้วย 

  • แจ้งข้อมูลสุขภาพและประวัติการใช้ยาอย่างละเอียด
  • ดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด
  • รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง
  • เตรียมพร้อมด้านจิตใจ

ขั้นตอนการรักษารากฟัน

การรักษา รากฟันโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน ซึ่งอาจใช้เวลา 1-3 ครั้ง แล้วแต่ความซับซ้อนของแต่ละกรณี โดยมีรายละเอียดดังนี้

  1. การตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา (Diagnosis and Treatment Planning) ถ่ายภาพรังสี (X-ray) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ทันตแพทย์มองเห็นลักษณะของคลองรากฟัน จำนวนคลองรากฟัน การติดเชื้อที่ปลายราก และความเสียหายของกระดูกรอบๆ ฟัน เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ
  2. การเตรียมการก่อนการรักษา (Preparation for Treatment) ฉีดยาชา ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณฟันซี่ที่จะรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการทำหัตถการ หากเนื้อเยื่อประสาทตายแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาชามากนัก แต่จะยังคงฉีดเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ
  3. การเปิดโพรงประสาทฟันและกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ (Access Opening and Pulp Removal) กรอเปิดโพรงประสาทฟัน ทันตแพทย์จะใช้หัวกรอฟันกรอลงไปที่ตัวฟัน เพื่อสร้างช่องทางเข้าสู่โพรงประสาทฟัน (Pulp Chamber) และคลองรากฟัน (Root Canals) การล้างทำความสะอาด (Irrigation) ในระหว่างการใช้ไฟล์ ทันตแพทย์จะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น Sodium Hypochlorite) ฉีดล้างทำความสะอาดภายในคลองรากฟันอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำจัดเศษเนื้อเยื่อ เชื้อโรค และแบคทีเรียที่ตกค้าง
  4. การบูรณะตัวฟัน (Restoration of the Tooth) หลังจากอุดคลองรากฟันเสร็จสิ้น ฟันซี่นั้นจะมีความเปราะบางและแตกหักง่าย เนื่องจากขาดเลือดและน้ำเลี้ยงจากโพรงประสาทฟัน ทันตแพทย์จะทำการบูรณะตัวฟันที่เหลือให้แข็งแรงและสามารถใช้งานได้ตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความเสียหายของฟัน
    • การอุดฟัน หากเนื้อฟันเหลืออยู่มาก อาจอุดด้วยวัสดุอุดฟันทั่วไป
    • การทำเดือยฟันและแกนฟัน (Post and Core) ในกรณีที่เนื้อฟันเหลือน้อยมาก อาจต้องมีการใส่เดือยฟันเข้าไปในคลองรากฟัน เพื่อเป็นโครงสร้างรองรับก่อนที่จะบูรณะส่วนของแกนฟันขึ้นมา
    • การทำครอบฟัน (Dental Crown) เป็นวิธีที่แนะนำมากที่สุดสำหรับการ รักษา รากฟันซี่ที่ต้องรับแรงบดเคี้ยวมาก (เช่น ฟันกราม) เพื่อป้องกันการแตกหักและให้ฟันสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน
  5. การติดตามผล (Follow-up) ทันตแพทย์จะนัดหมายเพื่อติดตามอาการและถ่ายภาพรังสีเพื่อประเมินผลการรักษาในระยะยาว (เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี) เพื่อดูว่าการติดเชื้อหายไปหมดหรือไม่ และมีการสร้างกระดูกกลับมาใหม่ที่บริเวณปลายรากฟันหรือไม่ การ รักษา รากฟันเป็นหัตถการที่ซับซ้อนและต้องใช้ความประณีตสูง หากทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โอกาสสำเร็จก็สูงมาก และสามารถช่วยรักษาฟันธรรมชาติของคุณไว้ได้นานหลายปี

การปฎิบัติตัวหลังรักษารากฟัน

หลังจากการ รักษา รากฟันเสร็จสิ้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาประสบความสำเร็จ ฟันฟื้นตัวได้ดี และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ นี่คือข้อควรปฏิบัติที่สำคัญ

  1. การดูแลอาการหลังยาชาหมดฤทธิ์
    • ระวังการกัดริมฝีปากหรือลิ้น ยาชาจะออกฤทธิ์อยู่ประมาณ 2-4 ชั่วโมง (หรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับชนิดของยาชาที่ใช้) ในช่วงนี้ปากและลิ้นจะยังชาอยู่ ควรระมัดระวังไม่เผลอกัดริมฝีปาก แก้ม หรือลิ้นในขณะเคี้ยวอาหารหรือพูดคุย
    • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหาร ควรงดเคี้ยวอาหารบริเวณฟันซี่ที่รักษา รากฟันจนกว่ายาชาจะหมดฤทธิ์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการกัดเนื้อเยื่ออ่อน
  2. การจัดการความเจ็บปวดและอาการไม่สบาย
    • อาการปวดหรือเสียว เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือรู้สึกเสียวเมื่อเคี้ยวอาหารในระยะ 2-3 วันแรกหลังการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากก่อนหน้านี้มีอาการติดเชื้อหรืออักเสบมาก
    • รับประทานยาแก้ปวด ทันตแพทย์มักจะสั่งยาแก้ปวด (เช่น Ibuprofen หรือ Paracetamol) ให้รับประทานตามอาการหรือตามที่ระบุไว้ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
    • ประคบเย็น (ถ้ามีอาการบวม) หากมีอาการบวมเล็กน้อยที่บริเวณแก้มภายนอก สามารถประคบเย็นจากด้านนอกได้ใน 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
    • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวฟันซี่ที่รักษา พยายามหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารโดยใช้ฟันซี่ที่รักษา รากฟันจนกว่าจะได้รับการบูรณะฟันอย่างสมบูรณ์ (เช่น ใส่ครอบฟัน) เพื่อป้องกันการแตกหักของฟัน
  3. การดูแลความสะอาดในช่องปาก
    • แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันตามปกติ คุณสามารถแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ แต่ควรทำอย่างเบามือและระมัดระวังบริเวณฟันที่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทันตแพทย์ใช้วัสดุอุดชั่วคราว
  4. การทำตามนัดหมายและบูรณะฟัน
    • มาตามนัดหมาย มาตามนัดหมายกับทันตแพทย์เสมอ เพื่อรับการอุดคลองรากฟันถาวร (ถ้ายังไม่เสร็จสิ้น) และการบูรณะฟัน
    • ความสำคัญของการบูรณะฟัน นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดหลังจากการ รักษา รากฟันเสร็จสิ้น ฟันที่รักษา รากฟันแล้วจะเปราะบางและแตกหักง่าย (เนื่องจากขาดเลือดและน้ำเลี้ยง) ดังนั้น การทำครอบฟัน (Crown) เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฟันกรามที่รับแรงบดเคี้ยวมาก เพื่อป้องกันการแตกหักของฟันในอนาคต หากไม่ได้รับการบูรณะที่เหมาะสม ฟันอาจแตกและต้องถูกถอนในที่สุด
  5. สัญญาณเตือนที่ควรพบทันตแพทย์ทันที
    • อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด
    • อาการบวมเพิ่มขึ้น บริเวณใบหน้า เหงือก หรือคอ
    • มีไข้
    • มีหนองไหลออกมาจากเหงือกหรือฟัน
    • อาการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น หายใจลำบาก
  6. การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง
    • งดเคี้ยวของแข็งหรือเหนียว โดยเฉพาะฟันซี่ที่ยังไม่ได้รับการบูรณะถาวร
    • งดกัดน้ำแข็ง หรือใช้ฟันเปิดขวด
    • หลีกเลี่ยงการกัดฟันหรือนอนกัดฟัน หากมีปัญหา ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเฝือกสบฟัน

อาการหรือผลข้างเคียงหลังจากรักษาฟัน

หลังจากได้รับการรักษาฟัน ไม่ว่าจะเป็นการอุดฟัน ถอนฟัน หรือรักษา รากฟัน เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการข้างเคียงหรือผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ซึ่งความรุนแรงและระยะเวลาของอาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษา ความซับซ้อนของหัตถการ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล

  1. อาการปวดหรือรู้สึกไม่สบาย หลังรักษา รากฟัน อาจมีอาการปวดหรือรู้สึกตึงๆ บริเวณฟันซี่ที่รักษา โดยเฉพาะ 2-3 วันแรกหลังการรักษา เนื่องจากเนื้อเยื่อรอบๆ อาจยังคงมีการอักเสบอยู่ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น
  2. อาการบวม หลังรักษา รากฟัน อาจมีอาการบวมเล็กน้อยที่เหงือกหรือใบหน้า หากมีการติดเชื้อก่อนการรักษา
  3. อาการชา จากยาชา เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นจากการฉีดยาชา อาการชาจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 2-4 ชั่วโมง (หรือนานกว่านั้น) ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของยาชา
  4. เลือดออก หลังถอนฟัน เป็นเรื่องปกติที่จะมีเลือดออกซึมๆ จากแผล ทันตแพทย์จะให้กัดผ้าก๊อซเพื่อห้ามเลือด เลือดควรจะหยุดไหลภายใน 6 ชั่วโมง หากมีเลือดออกปริมาณมากหรือไม่หยุดไหลควรรีบพบทันตแพทย์
  5. อ้าปากได้จำกัด (Trismus) พบได้บ่อยหลังการผ่าฟันคุด หรือการถอนฟันที่ยากลำบาก กล้ามเนื้อขากรรไกรอาจตึง ทำให้รู้สึกปวดและอ้าปากได้ไม่เต็มที่ อาการมักจะดีขึ้นเองในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์
  6. ฟันเปลี่ยนสี หลังรักษา รากฟัน ในบางกรณี ฟันที่ได้รับการ รักษา รากฟันอาจมีสีคล้ำขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเส้นเลือดภายในฟันได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม มีวิธีแก้ไขเรื่องสีฟันให้กลับมาเป็นปกติได้
  7. ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น (พบน้อยแต่ต้องระวัง)

    • การติดเชื้อ แม้จะทำตามขั้นตอนที่ถูกสุขลักษณะ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะหากไม่ดูแลความสะอาดหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ สัญญาณของการติดเชื้อ ได้แก่ ปวดเพิ่มขึ้น บวมมากขึ้น มีไข้ มีหนองไหล
    • กระดูกเบ้าฟันอักเสบ (Dry Socket) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้หลังการถอนฟัน เมื่อลิ่มเลือดในเบ้าฟันหลุดออก ทำให้กระดูกเบ้าฟันสัมผัสกับอากาศและอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง มีกลิ่นปาก และไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป
    • วัสดุอุดชั่วคราวหลุด/แตก หากฟันที่รักษา รากฟันยังไม่ได้ทำครอบฟันถาวร และใช้วัสดุอุดชั่วคราว อาจหลุดหรือแตกได้ ทำให้เชื้อโรคสามารถกลับเข้าสู่คลองรากฟันได้

เมื่อใดควรพบทันตแพทย์ทันที

  • อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ทุเลาลงด้วยยาแก้ปวด
  • อาการบวมเพิ่มขึ้น หรือบวมลามไปที่ใบหน้าหรือลำคอ
  • มีไข้ร่วมกับอาการปวดหรือบวม
  • มีหนองหรือของเหลวผิดปกติไหลออกมาจากบริเวณที่รักษา
  • เลือดออกไม่หยุด หรือออกในปริมาณมาก
  • อาการชาที่ริมฝีปาก ลิ้น หรือคางไม่หายไปหลังจากผ่านไปหลายวันหรือหลายสัปดาห์
  • วัสดุอุดฟันหลุด แตก หรือรู้สึกว่าการสบฟันผิดปกติอย่างมาก

การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดหลัง การรักษาฟัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและส่งเสริมให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดีและมั่นใจในรอยยิ้มหากมีปัญหาเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์  identistclinic เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ได้เลย @iDentistClinic