Table of Contents
Toggleรักษารากฟัน คืออะไร
การ รักษารากฟัน หรือที่เรียกว่า Endodontic Treatment คือ กระบวนการทางทันตกรรมที่ใช้ในการรักษาฟันที่ได้รับความเสียหายจากการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณเนื้อเยื่อในโพรงฟันและคลองรากฟัน ซึ่งเนื้อเยื่อเหล่านี้ประกอบด้วยเส้นประสาทและหลอดเลือด
รู้จักส่วนประกอบของรากฟัน
รากฟันเป็นส่วนสำคัญของฟันที่ฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกรและถูกปกคลุมด้วยเหงือก ทำให้ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอกช่องปาก แม้จะอยู่ภายใน แต่รากฟันก็มีส่วนประกอบที่สำคัญที่ช่วยให้ฟันคงอยู่ในช่องปากได้อย่างมั่นคง และทำหน้าที่ต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์ ลองมาดูกันว่าส่วนประกอบหลักของรากฟันมีอะไรบ้าง:
- เคลือบรากฟัน (Cementum) เป็นชั้นที่อยู่ด้านนอกสุดของรากฟัน มีความแข็งแรงน้อยกว่าเคลือบฟัน (Enamel) ที่หุ้มส่วนตัวฟัน หน้าที่หลักคือเป็นจุดยึดเกาะของเส้นเอ็นปริทันต์ (Periodontal Ligament) ซึ่งจะช่วยยึดรากฟันเข้ากับกระดูกเบ้าฟัน
- เนื้อฟัน (Dentin) เป็นชั้นที่อยู่ถัดเข้ามาจากเคลือบรากฟัน (และถัดจากเคลือบฟันในส่วนตัวฟัน) เป็นส่วนประกอบหลักของเนื้อฟัน มีลักษณะเป็นท่อเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับโพรงประสาทฟัน ทำให้เนื้อฟันมีความไวต่อความรู้สึก เช่น ความร้อน ความเย็น หรือแรงกด เนื้อฟันในส่วนรากฟันจะมีความต่อเนื่องกับเนื้อฟันในส่วนตัวฟัน
- คลองรากฟัน (Root Canal) เป็นส่วนที่อยู่ภายในเนื้อฟัน เป็นช่องทางยาวที่ต่อเนื่องมาจากโพรงประสาทฟัน (Pulp Chamber) ในส่วนตัวฟัน ไปจนถึงปลายรากฟัน
ส่วนประกอบอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับรากฟัน (แต่ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของตัวรากฟันโดยตรง)
- กระดูกเบ้าฟัน (Alveolar Bone) เป็นส่วนหนึ่งของกระดูกขากรรไกร ทำหน้าที่รองรับและเป็นเบ้าที่รากฟันฝังอยู่ มีความพรุนและมีรูปร่างที่เหมาะสมกับรากฟันแต่ละซี่
- เอ็นยึดปริทันต์ (Periodontal Ligament – PDL) เป็นเนื้อเยื่อเส้นใยเล็กๆ ที่เชื่อมต่อระหว่างเคลือบรากฟันกับกระดูกเบ้าฟัน ทำหน้าที่สำคัญในการยึดฟันให้อยู่กับที่ และช่วยรับแรงกระแทกจากการบดเคี้ยวอาหาร
การที่รากฟันและโครงสร้างรอบๆ มีสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งต่อความแข็งแรงและการใช้งานของฟัน หากรากฟันติดเชื้อหรือเสียหายอย่างรุนแรง ก็จำเป็นต้องได้รับการรักษารากฟันเพื่อรักษาฟันซี่นั้นไว้
ทำไมถึงต้องรักษารากฟัน
- ฟันผุลึก จนทะลุถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้แบคทีเรียเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในฟัน เกิดการอักเสบและติดเชื้อ
- ฟันแตกหรือหัก ทำให้เนื้อเยื่อในฟันสัมผัสกับเชื้อโรค
- ฟันได้รับการกระแทกอย่างรุนแรง ทำให้เนื้อเยื่อในฟันเสียหายหรือตาย
การรักษา รากฟันจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการ กำจัดแหล่งที่มาของการติดเชื้อ บรรเทาอาการปวด ป้องกันการลุกลามของโรค และที่สำคัญที่สุดคือ ช่วยเก็บรักษาฟันธรรมชาติเอาไว้ ไม่ต้องถอนฟันออกไป ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในการรักษาสุขภาพช่องปากและฟันในระยะยาว
สาเหตุของการติดเชื้อที่คลองรากฟัน
การติดเชื้อที่คลองรากฟัน หรือที่เรียกว่า โพรงประสาทฟันอักเสบ (Pulpitis) เกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียเข้าไปทำลายเนื้อเยื่อในโพรงประสาทฟัน ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ด้านในสุดของฟัน ประกอบด้วยเส้นประสาท เส้นเลือด และท่อน้ำเหลือง หากปล่อยทิ้งไว้ เชื้อโรคจะลุกลามลงไปถึงปลายรากฟันและกระดูกรอบๆ ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง บวม และอาจเกิดเป็นฝีได้
สาเหตุหลักของการติดเชื้อที่คลองรากฟัน ได้แก่
- ฟันผุลึกมาก เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด เมื่อฟันผุไม่ได้รับการรักษาและลุกลามลงไปเรื่อยๆ จนทะลุถึงโพรงประสาทฟัน ทำให้แบคทีเรียเข้าสู่โพรงประสาทฟันได้โดยตรง
- ฟันแตก/ร้าว/บิ่น การได้รับบาดเจ็บหรืออุบัติเหตุที่ฟัน เช่น การกระแทกอย่างรุนแรง การเคี้ยวของแข็งมากๆ หรือการนอนกัดฟัน อาจทำให้ฟันเกิดรอยร้าวหรือแตกหักเป็นช่องทางให้เชื้อแบคทีเรียเข้าไปในโพรงประสาทฟันได้
- โรคเหงือกอักเสบรุนแรง หากโรคเหงือกไม่ได้รับการรักษาและลุกลามจนทำลายกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆ ฟัน อาจทำให้แบคทีเรียเข้าสู่รากฟันได้
- การรักษาฟันที่ไม่สมบูรณ์ในอดีต ในบางกรณี การรักษาฟันที่เคยทำไปแล้วอาจไม่สมบูรณ์ หรือมีเชื้อโรคตกค้างอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบหรือติดเชื้อซ้ำได้
- ฟันสึกมาก การสึกของฟันอย่างรุนแรง เช่น จากการนอนกัดฟัน หรือการแปรงฟันที่ผิดวิธี อาจทำให้เนื้อฟันบางลงและเชื้อโรคสามารถเข้าถึงโพรงประสาทฟันได้ง่ายขึ้น
เมื่อเกิดการติดเชื้อที่คลองรากฟัน หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เชื้อโรคอาจลุกลามไปทั่วร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพที่รุนแรงได้ ดังนั้น หากมีอาการปวดฟันรุนแรง ฟันเปลี่ยนสี เหงือกบวม มีตุ่มหนอง หรือมีประวัติได้รับอุบัติเหตุที่ฟัน ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจและรับการรักษาโดยเร็วที่สุด
อาการแบบไหนที่บอกว่าคุณอาจต้องรักษารากฟัน
การรักษา รากฟัน (Root Canal Treatment) เป็นการรักษาเพื่อกำจัดเชื้อแบคทีเรียและเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อภายในโพรงประสาทฟันและคลองรากฟัน และรักษาฟันซี่นั้นไว้ไม่ให้ต้องถอนทิ้ง อาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษา รากฟัน ได้แก่
- อาการปวดฟันอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง
- เสียวฟันหรือปวดฟันต่อสิ่งกระตุ้น
- เหงือกบวมหรือมีตุ่มหนอง
- ฟันเปลี่ยนสี
- ฟันผุลึกมาก
- เจ็บเมื่อกดหรือเคาะที่ฟัน
- มีอาการบวมที่ใบหน้าหรือลำคอ
ข้อควรระวัง
- บางครั้ง อาการเหล่านี้อาจไม่ปรากฏในผู้ป่วยทุกราย หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ทำให้บางคนเข้าใจผิดว่าไม่มีปัญหา แต่การติดเชื้อในโพรงประสาทฟันอาจดำเนินต่อไปโดยไม่มีอาการรุนแรงในระยะแรกๆ
- หากคุณมีอาการใดๆ ข้างต้น ควรรีบไปพบทันตแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียด การรักษาแต่เนิ่นๆ สามารถช่วยรักษาฟันของคุณไว้ได้ และป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่า เช่น การติดเชื้อลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
ประเภทของการรักษารากฟัน
การรักษา รากฟันมีวัตถุประสงค์หลักคือการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือตายในโพรงประสาทฟันและคลองรากฟัน เพื่อรักษาฟันซี่นั้นไว้ไม่ให้ต้องถอนทิ้ง โดยทั่วไปแล้ว การรักษา รากฟันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ คือ
- การรักษารากฟันด้วยวิธีปกติ (Conventional Root Canal Treatment / Non-surgical Root Canal Treatment) เป็นวิธีการรักษาที่พบบ่อยที่สุดและเป็นมาตรฐาน โดยทันตแพทย์จะเข้าถึงโพรงประสาทฟันผ่านทางด้านบนของตัวฟัน (โดยการกรอเปิดฟัน) จากนั้นจะทำการกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อหรือตายออกให้หมด ทำความสะอาดคลองรากฟันด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ และขึ้นรูปคลองรากฟันให้เหมาะสมกับการอุด เมื่อคลองรากฟันสะอาดและปราศจากการติดเชื้อแล้ว ทันตแพทย์จะทำการอุดคลองรากฟันด้วยวัสดุพิเศษ (ส่วนใหญ่คือ Gutta-percha) เพื่อป้องกันการกลับมาติดเชื้อซ้ำ หลังจากนั้นจึงจะบูรณะตัวฟันที่เหลือด้วยการอุดฟัน หรือทำครอบฟัน เพื่อคืนความแข็งแรงและใช้งานได้ตามปกติ
- การรักษารากฟันด้วยวิธีการผ่าตัดปลายรากฟัน (Apicoectomy / Root-end Resection): การรักษา รากฟันประเภทนี้จะทำเมื่อการรักษา รากฟันด้วยวิธีปกติไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ หรือล้มเหลว เช่น มีการติดเชื้อหรือการอักเสบที่ปลายรากฟันที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิธีปกติ, มีความผิดปกติทางกายวิภาคของคลองรากฟันที่ไม่สามารถเข้าถึงได้, มีการหักของเครื่องมือในคลองรากฟัน, หรือมีการติดเชื้อซ้ำหลังจากการรักษา รากฟันปกติแล้ว
การเตรียมตัวก่อนการรักษาฟัน
การเตรียมตัวที่ดีก่อนการรักษาฟัน ไม่ว่าจะเป็นการอุดฟัน ถอนฟัน รักษา รากฟัน หรือการรักษาอื่นๆ มีความสำคัญอย่างมากเพื่อความราบรื่น ปลอดภัย และประสิทธิภาพของการรักษา รวมถึงความสบายใจของผู้ป่วยเองด้วย
- แจ้งข้อมูลสุขภาพและประวัติการใช้ยาอย่างละเอียด
- ดูแลสุขภาพช่องปากให้สะอาด
- รับประทานอาหารและพักผ่อนให้เพียงพอ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง
- เตรียมพร้อมด้านจิตใจ
ขั้นตอนการรักษารากฟัน
การรักษา รากฟันโดยทั่วไปจะแบ่งออกเป็นหลายขั้นตอน ซึ่งอาจใช้เวลา 1-3 ครั้ง แล้วแต่ความซับซ้อนของแต่ละกรณี โดยมีรายละเอียดดังนี้
- การตรวจวินิจฉัยและวางแผนการรักษา (Diagnosis and Treatment Planning) ถ่ายภาพรังสี (X-ray) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้ทันตแพทย์มองเห็นลักษณะของคลองรากฟัน จำนวนคลองรากฟัน การติดเชื้อที่ปลายราก และความเสียหายของกระดูกรอบๆ ฟัน เพื่อวางแผนการรักษาได้อย่างแม่นยำ
- การเตรียมการก่อนการรักษา (Preparation for Treatment) ฉีดยาชา ทันตแพทย์จะฉีดยาชาเฉพาะที่บริเวณฟันซี่ที่จะรักษา เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บปวดระหว่างการทำหัตถการ หากเนื้อเยื่อประสาทตายแล้ว อาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาชามากนัก แต่จะยังคงฉีดเพื่อให้แน่ใจว่าผู้ป่วยจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ
- การเปิดโพรงประสาทฟันและกำจัดเนื้อเยื่อที่ติดเชื้อ (Access Opening and Pulp Removal) กรอเปิดโพรงประสาทฟัน ทันตแพทย์จะใช้หัวกรอฟันกรอลงไปที่ตัวฟัน เพื่อสร้างช่องทางเข้าสู่โพรงประสาทฟัน (Pulp Chamber) และคลองรากฟัน (Root Canals) การล้างทำความสะอาด (Irrigation) ในระหว่างการใช้ไฟล์ ทันตแพทย์จะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น Sodium Hypochlorite) ฉีดล้างทำความสะอาดภายในคลองรากฟันอย่างต่อเนื่อง เพื่อกำจัดเศษเนื้อเยื่อ เชื้อโรค และแบคทีเรียที่ตกค้าง
- การบูรณะตัวฟัน (Restoration of the Tooth) หลังจากอุดคลองรากฟันเสร็จสิ้น ฟันซี่นั้นจะมีความเปราะบางและแตกหักง่าย เนื่องจากขาดเลือดและน้ำเลี้ยงจากโพรงประสาทฟัน ทันตแพทย์จะทำการบูรณะตัวฟันที่เหลือให้แข็งแรงและสามารถใช้งานได้ตามปกติ อาจทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับความเสียหายของฟัน
- การอุดฟัน หากเนื้อฟันเหลืออยู่มาก อาจอุดด้วยวัสดุอุดฟันทั่วไป
- การทำเดือยฟันและแกนฟัน (Post and Core) ในกรณีที่เนื้อฟันเหลือน้อยมาก อาจต้องมีการใส่เดือยฟันเข้าไปในคลองรากฟัน เพื่อเป็นโครงสร้างรองรับก่อนที่จะบูรณะส่วนของแกนฟันขึ้นมา
- การทำครอบฟัน (Dental Crown) เป็นวิธีที่แนะนำมากที่สุดสำหรับการ รักษา รากฟันซี่ที่ต้องรับแรงบดเคี้ยวมาก (เช่น ฟันกราม) เพื่อป้องกันการแตกหักและให้ฟันสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและยาวนาน
- การติดตามผล (Follow-up) ทันตแพทย์จะนัดหมายเพื่อติดตามอาการและถ่ายภาพรังสีเพื่อประเมินผลการรักษาในระยะยาว (เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี) เพื่อดูว่าการติดเชื้อหายไปหมดหรือไม่ และมีการสร้างกระดูกกลับมาใหม่ที่บริเวณปลายรากฟันหรือไม่ การ รักษา รากฟันเป็นหัตถการที่ซับซ้อนและต้องใช้ความประณีตสูง หากทำโดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โอกาสสำเร็จก็สูงมาก และสามารถช่วยรักษาฟันธรรมชาติของคุณไว้ได้นานหลายปี
การปฎิบัติตัวหลังรักษารากฟัน
หลังจากการ รักษา รากฟันเสร็จสิ้น ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญที่ต้องดูแลตัวเองเป็นอย่างดี เพื่อให้แน่ใจว่าการรักษาประสบความสำเร็จ ฟันฟื้นตัวได้ดี และลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ นี่คือข้อควรปฏิบัติที่สำคัญ
- การดูแลอาการหลังยาชาหมดฤทธิ์
- ระวังการกัดริมฝีปากหรือลิ้น ยาชาจะออกฤทธิ์อยู่ประมาณ 2-4 ชั่วโมง (หรือนานกว่านั้นขึ้นอยู่กับชนิดของยาชาที่ใช้) ในช่วงนี้ปากและลิ้นจะยังชาอยู่ ควรระมัดระวังไม่เผลอกัดริมฝีปาก แก้ม หรือลิ้นในขณะเคี้ยวอาหารหรือพูดคุย
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหาร ควรงดเคี้ยวอาหารบริเวณฟันซี่ที่รักษา รากฟันจนกว่ายาชาจะหมดฤทธิ์ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บจากการกัดเนื้อเยื่ออ่อน
- การจัดการความเจ็บปวดและอาการไม่สบาย
- อาการปวดหรือเสียว เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการปวดเล็กน้อยถึงปานกลาง หรือรู้สึกเสียวเมื่อเคี้ยวอาหารในระยะ 2-3 วันแรกหลังการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากก่อนหน้านี้มีอาการติดเชื้อหรืออักเสบมาก
- รับประทานยาแก้ปวด ทันตแพทย์มักจะสั่งยาแก้ปวด (เช่น Ibuprofen หรือ Paracetamol) ให้รับประทานตามอาการหรือตามที่ระบุไว้ เพื่อบรรเทาความเจ็บปวด
- ประคบเย็น (ถ้ามีอาการบวม) หากมีอาการบวมเล็กน้อยที่บริเวณแก้มภายนอก สามารถประคบเย็นจากด้านนอกได้ใน 24-48 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดอาการบวม
- หลีกเลี่ยงการเคี้ยวฟันซี่ที่รักษา พยายามหลีกเลี่ยงการเคี้ยวอาหารโดยใช้ฟันซี่ที่รักษา รากฟันจนกว่าจะได้รับการบูรณะฟันอย่างสมบูรณ์ (เช่น ใส่ครอบฟัน) เพื่อป้องกันการแตกหักของฟัน
- การดูแลความสะอาดในช่องปาก
- แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันตามปกติ คุณสามารถแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันได้ตามปกติ แต่ควรทำอย่างเบามือและระมัดระวังบริเวณฟันที่ได้รับการรักษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากทันตแพทย์ใช้วัสดุอุดชั่วคราว
- การทำตามนัดหมายและบูรณะฟัน
- มาตามนัดหมาย มาตามนัดหมายกับทันตแพทย์เสมอ เพื่อรับการอุดคลองรากฟันถาวร (ถ้ายังไม่เสร็จสิ้น) และการบูรณะฟัน
- ความสำคัญของการบูรณะฟัน นี่เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดหลังจากการ รักษา รากฟันเสร็จสิ้น ฟันที่รักษา รากฟันแล้วจะเปราะบางและแตกหักง่าย (เนื่องจากขาดเลือดและน้ำเลี้ยง) ดังนั้น การทำครอบฟัน (Crown) เป็นสิ่งที่แนะนำอย่างยิ่ง โดยเฉพาะฟันกรามที่รับแรงบดเคี้ยวมาก เพื่อป้องกันการแตกหักของฟันในอนาคต หากไม่ได้รับการบูรณะที่เหมาะสม ฟันอาจแตกและต้องถูกถอนในที่สุด
- สัญญาณเตือนที่ควรพบทันตแพทย์ทันที
- อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ด้วยยาแก้ปวด
- อาการบวมเพิ่มขึ้น บริเวณใบหน้า เหงือก หรือคอ
- มีไข้
- มีหนองไหลออกมาจากเหงือกหรือฟัน
- อาการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น หายใจลำบาก
- การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบางอย่าง
- งดเคี้ยวของแข็งหรือเหนียว โดยเฉพาะฟันซี่ที่ยังไม่ได้รับการบูรณะถาวร
- งดกัดน้ำแข็ง หรือใช้ฟันเปิดขวด
- หลีกเลี่ยงการกัดฟันหรือนอนกัดฟัน หากมีปัญหา ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อทำเฝือกสบฟัน
อาการหรือผลข้างเคียงหลังจากรักษาฟัน
หลังจากได้รับการรักษาฟัน ไม่ว่าจะเป็นการอุดฟัน ถอนฟัน หรือรักษา รากฟัน เป็นเรื่องปกติที่จะมีอาการข้างเคียงหรือผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ ซึ่งความรุนแรงและระยะเวลาของอาการจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับประเภทของการรักษา ความซับซ้อนของหัตถการ และสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล
- อาการปวดหรือรู้สึกไม่สบาย หลังรักษา รากฟัน อาจมีอาการปวดหรือรู้สึกตึงๆ บริเวณฟันซี่ที่รักษา โดยเฉพาะ 2-3 วันแรกหลังการรักษา เนื่องจากเนื้อเยื่อรอบๆ อาจยังคงมีการอักเสบอยู่ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้น
- อาการบวม หลังรักษา รากฟัน อาจมีอาการบวมเล็กน้อยที่เหงือกหรือใบหน้า หากมีการติดเชื้อก่อนการรักษา
- อาการชา จากยาชา เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นจากการฉีดยาชา อาการชาจะค่อยๆ หายไปเองภายใน 2-4 ชั่วโมง (หรือนานกว่านั้น) ขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของยาชา
- เลือดออก หลังถอนฟัน เป็นเรื่องปกติที่จะมีเลือดออกซึมๆ จากแผล ทันตแพทย์จะให้กัดผ้าก๊อซเพื่อห้ามเลือด เลือดควรจะหยุดไหลภายใน 6 ชั่วโมง หากมีเลือดออกปริมาณมากหรือไม่หยุดไหลควรรีบพบทันตแพทย์
- อ้าปากได้จำกัด (Trismus) พบได้บ่อยหลังการผ่าฟันคุด หรือการถอนฟันที่ยากลำบาก กล้ามเนื้อขากรรไกรอาจตึง ทำให้รู้สึกปวดและอ้าปากได้ไม่เต็มที่ อาการมักจะดีขึ้นเองในไม่กี่วันถึงหนึ่งสัปดาห์
- ฟันเปลี่ยนสี หลังรักษา รากฟัน ในบางกรณี ฟันที่ได้รับการ รักษา รากฟันอาจมีสีคล้ำขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากเส้นเลือดภายในฟันได้รับความเสียหาย อย่างไรก็ตาม มีวิธีแก้ไขเรื่องสีฟันให้กลับมาเป็นปกติได้
- ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น (พบน้อยแต่ต้องระวัง)
- การติดเชื้อ แม้จะทำตามขั้นตอนที่ถูกสุขลักษณะ แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ โดยเฉพาะหากไม่ดูแลความสะอาดหรือไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์ สัญญาณของการติดเชื้อ ได้แก่ ปวดเพิ่มขึ้น บวมมากขึ้น มีไข้ มีหนองไหล
- กระดูกเบ้าฟันอักเสบ (Dry Socket) เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้หลังการถอนฟัน เมื่อลิ่มเลือดในเบ้าฟันหลุดออก ทำให้กระดูกเบ้าฟันสัมผัสกับอากาศและอาหาร ทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง มีกลิ่นปาก และไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไป
- วัสดุอุดชั่วคราวหลุด/แตก หากฟันที่รักษา รากฟันยังไม่ได้ทำครอบฟันถาวร และใช้วัสดุอุดชั่วคราว อาจหลุดหรือแตกได้ ทำให้เชื้อโรคสามารถกลับเข้าสู่คลองรากฟันได้
เมื่อใดควรพบทันตแพทย์ทันที
- อาการปวดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือไม่ทุเลาลงด้วยยาแก้ปวด
- อาการบวมเพิ่มขึ้น หรือบวมลามไปที่ใบหน้าหรือลำคอ
- มีไข้ร่วมกับอาการปวดหรือบวม
- มีหนองหรือของเหลวผิดปกติไหลออกมาจากบริเวณที่รักษา
- เลือดออกไม่หยุด หรือออกในปริมาณมาก
- อาการชาที่ริมฝีปาก ลิ้น หรือคางไม่หายไปหลังจากผ่านไปหลายวันหรือหลายสัปดาห์
- วัสดุอุดฟันหลุด แตก หรือรู้สึกว่าการสบฟันผิดปกติอย่างมาก
การปฏิบัติตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดหลัง การรักษาฟัน เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยลดความเสี่ยงของผลข้างเคียงและส่งเสริมให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่น ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม การตระหนักถึงปัญหาเหล่านี้และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มีสุขภาพช่องปากที่ดีและมั่นใจในรอยยิ้มหากมีปัญหาเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาทันตแพทย์ identistclinic เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม ได้เลย @iDentistClinic