ทำฟัน จัดฟัน นัดปรึกษาฟรี : @iDentistClinic

ปัญหาสุขภาพฟันของผู้สูงอายุ

ปัญหาฟันผู้สูงอายุ

อายุมากขึ้น สุขภาพร่างกายก็มีการเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงสุขภาพช่องปากและฟันด้วย  ปัญหาฟันผู้สูงอายุ จึงมักเผชิญกับปัญหาเกี่ยวกับฟันที่แตกต่างจากวัยอื่นๆ ซึ่งอาจส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหาร การพูด และคุณภาพชีวิตโดยรวม ปัญหาที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ

ปัญหาฟันผู้สูงอายุ สุขภาพช่องปากผู้สูงอายุที่พบบ่อย พร้อมสาเหตุ

 

ฟันผุ

ปัญหาฟันผู้สูงอายุ แม้ว่าผู้สูงอายุบางท่านอาจจะสูญเสียฟันธรรมชาติไปบ้างแล้ว แต่ฟันที่ยังคงอยู่ก็ยังคงมีความเสี่ยงต่อการผุ โดยเฉพาะบริเวณคอฟันและรากฟันที่อาจมีการร่นของเหงือก ทำให้ง่ายต่อการสะสมของคราบจุลินทรีย์และเกิดการผุได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ การมีน้ำลายน้อยลงในผู้สูงอายุบางรายก็เป็นอีกปัจจัยเสี่ยงหนึ่ง

ลักษณะของฟันผุในผู้สูงอายุที่ควรสังเกต

  • ฟันผุบริเวณคอฟัน มักเกิดขึ้นบริเวณรอยต่อระหว่างตัวฟันและเหงือก ซึ่งเป็นบริเวณที่เหงือกร่นและทำความสะอาดได้ยาก
  • ฟันผุบริเวณรากฟัน เกิดขึ้นเมื่อเหงือกร่นลงไปมาก ทำให้รากฟันสัมผัสกับสภาพแวดล้อมในช่องปากโดยตรง
  • ฟันผุใต้ขอบวัสดุอุดฟันเก่า วัสดุอุดฟันเก่าอาจมีการเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดช่องว่างให้แบคทีเรียเข้าไปสะสมและเกิดการผุซ้ำได้

แนวทางการป้องกันและจัดการฟันผุในผู้สูงอายุ

  • เน้นการดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอและถูกวิธี แม้จะมีข้อจำกัดทางร่างกาย ควรหาวิธีที่เหมาะสม เช่น ใช้แปรงสีฟันไฟฟ้า หรือด้ามแปรงที่จับถนัดมือ และใช้ไหมขัดฟันหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันที่เหมาะสม
  • ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ฟลูออไรด์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟันและป้องกันฟันผุ
  • จัดการภาวะปากแห้ง ดื่มน้ำบ่อยๆ ใช้สเปรย์น้ำลายเทียม หรือปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษา
  • ทำความสะอาดฟันปลอมอย่างสม่ำเสมอ และตรวจเช็คความพอดีของฟันปลอมกับทันตแพทย์
  • ควบคุมอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรับการรักษาฟันผุตั้งแต่ระยะเริ่มต้น รวมถึงการเคลือบฟลูออไรด์เพื่อป้องกัน
  • อาจพิจารณาการเคลือบหลุมร่องฟัน เพื่อป้องกันการผุในบริเวณร่องลึกของฟันกราม

 

โรคปริทันต์ (รำมะนาด)

ปัญหาฟันผู้สูงอายุ  เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยและรุนแรงในผู้สูงอายุ มักเป็นผลต่อเนื่องมาจากเหงือกอักเสบที่ไม่ได้รับการรักษา การสูญเสียกระดูกรองรับฟันทำให้ฟันโยกและอาจต้องถูกถอนในที่สุด

ลักษณะและสาเหตุของโรคปริทันต์ในผู้สูงอายุ

  • การสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูนเป็นเวลานาน ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีประวัติการสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูนมาเป็นระยะเวลานาน หากไม่ได้รับการดูแลและกำจัดอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นปัจจัยหลักที่นำไปสู่การอักเสบของเหงือกและเนื้อเยื่อรอบฟัน
  • การเปลี่ยนแปลงของระบบภูมิคุ้มกัน เมื่ออายุมากขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจมีการตอบสนองต่อการติดเชื้อที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งอาจส่งผลให้การอักเสบในช่องปากรุนแรงขึ้นและลุกลามได้ง่ายกว่าในวัยหนุ่มสาว
  • โรคประจำตัว ผู้สูงอายุส่วนใหญ่มักมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคกระดูกพรุน ซึ่งโรคเหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดและทำให้โรคปริทันต์รุนแรงขึ้นได้ โดยเฉพาะโรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ดีนัก จะส่งผลต่อการหายของเนื้อเยื่อและการตอบสนองต่อการรักษา
  • ยาที่รับประทาน ยาหลายชนิดที่ผู้สูงอายุรับประทานเป็นประจำ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาที่มีผลต่อระบบภูมิคุ้มกัน อาจมีผลข้างเคียงทำให้เหงือกบวม หรือส่งผลต่อสุขภาพของเนื้อเยื่อปริทันต์
  • ภาวะปากแห้ง น้ำลายน้อยลงทำให้การชะล้างแบคทีเรียและเศษอาหารลดลง ทำให้คราบจุลินทรีย์สะสมได้ง่ายขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคปริทันต์
  • การสูญเสียฟันและการใส่ฟันปลอม การมีฟันที่เหลืออยู่น้อยซี่ หรือการใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดีหรือไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างเหมาะสม อาจทำให้เกิดแรงกดที่ไม่สมดุลบนฟันที่เหลืออยู่ และเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคที่ส่งผลต่อสุขภาพของเหงือกและกระดูกรอบฟันได้
  • พันธุกรรม ปัจจัยทางพันธุกรรมก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการเกิดโรคปริทันต์ในแต่ละบุคคล

แนวทางการป้องกันและจัดการโรคปริทันต์ในผู้สูงอายุ

  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างเข้มงวด แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเน้นบริเวณขอบเหงือก และใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน หากมีข้อจำกัดทางร่างกาย ควรปรึกษาทันตแพทย์หรือทันตาภิบาลเพื่อหาอุปกรณ์และเทคนิคที่เหมาะสม
  • ทำความสะอาดฟันปลอมอย่างถูกวิธี ถอดฟันปลอมมาทำความสะอาดทุกวัน และดูแลความสะอาดของเหงือกและฟันธรรมชาติที่อยู่ใต้ฟันปลอมด้วย
  • ควบคุมโรคประจำตัว โดยเฉพาะโรคเบาหวาน ควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • แจ้งทันตแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทาน เพื่อให้ทันตแพทย์พิจารณาถึงผลกระทบต่อสุขภาพเหงือก
  • จัดการภาวะปากแห้ง ดื่มน้ำบ่อยๆ และปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษาที่เหมาะสม
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรับการรักษาโรคปริทันต์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การขูดหินปูนและการเกลารากฟัน (scaling and root planing) เป็นการรักษาหลัก
  • อาจต้องเข้ารับการผ่าตัดปริทันต์ ในกรณีที่โรคลุกลามมาก เพื่อลดความลึกของร่องปริทันต์ หรือทำการปลูกถ่ายกระดูกและเนื้อเยื่อในบางกรณี
  • การดูแลรักษาต่อเนื่อง การติดตามผลการรักษาและเข้ารับการทำความสะอาดโดยทันตแพทย์เป็นประจำมีความสำคัญอย่างยิ่งในการควบคุมโรคปริทันต์ในระยะยาว

 

 

ปากแห้ง (Xerostomia)

เป็นปัญหาที่พบบ่อยมากในผู้สูงอายุ สาเหตุอาจมาจากยาที่รับประทาน (เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาแก้ซึมเศร้า) โรคประจำตัวบางชนิด (เช่น โรคโจเกรน) หรือการทำงานของต่อมน้ำลายที่ลดลง ภาวะปากแห้งเพิ่มความเสี่ยงต่อฟันผุ การติดเชื้อในช่องปาก และทำให้รู้สึกไม่สบาย

ลักษณะและสาเหตุของปากแห้งในผู้สูงอายุ

ภาวะปากแห้งในผู้สูงอายุเกิดจากการที่ต่อมน้ำลายผลิตน้ำลายน้อยกว่าปกติ ทำให้ช่องปากขาดความชุ่มชื้น สาเหตุของภาวะนี้ในผู้สูงอายุมีความหลากหลายและมักเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่

  • ผลข้างเคียงจากยา เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ ผู้สูงอายุมักรับประทานยาหลายชนิดเพื่อรักษาโรคประจำตัวต่างๆ เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด ยาแก้ซึมเศร้า ยาแก้ปวดบางชนิด และยาสำหรับรักษาโรคทางจิตเวช ซึ่งยาเหล่านี้มีผลข้างเคียงทำให้การผลิตน้ำลายลดลง
  • โรคประจำตัว โรคบางชนิดที่พบมากขึ้นในผู้สูงอายุสามารถส่งผลต่อการทำงานของต่อมน้ำลาย เช่น โรคโจเกรน (Sjogren’s syndrome) ซึ่งเป็นโรคที่ระบบภูมิคุ้มกันทำลายต่อมสร้างน้ำลายและต่อมน้ำตา โรคเบาหวาน โรคอัลไซเมอร์ โรคพาร์กินสัน และภาวะหลังการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง
  • การรักษาด้วยรังสีบริเวณศีรษะและลำคอ ผู้สูงอายุบางรายอาจเคยได้รับการรักษาด้วยรังสีบริเวณนี้ ซึ่งสามารถทำลายต่อมน้ำลายอย่างถาวรหรือชั่วคราว
  • ภาวะขาดน้ำ (Dehydration) แม้จะไม่ใช่สาเหตุหลัก แต่ผู้สูงอายุบางรายอาจมีแนวโน้มที่จะดื่มน้ำน้อยลง ทำให้ร่างกายโดยรวมขาดน้ำและส่งผลต่อการผลิตน้ำลาย
  • การหายใจทางปาก ผู้สูงอายุบางท่านอาจมีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจทางจมูก ทำให้ต้องหายใจทางปาก โดยเฉพาะเวลานอนหลับ ซึ่งจะทำให้ช่องปากแห้ง
  • อายุที่มากขึ้น การทำงานของต่อมน้ำลายอาจลดลงตามธรรมชาติเมื่ออายุมากขึ้น
  • การใช้เครื่องช่วยหายใจ ผู้สูงอายุบางรายที่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจอาจมีปัญหาปากแห้งเนื่องจากอากาศที่ไหลผ่านช่องปาก
  • ความเครียดและความวิตกกังวล แม้จะไม่ใช่สาเหตุโดยตรง แต่ความเครียดอาจส่งผลต่อระบบประสาทที่ควบคุมการผลิตน้ำลาย

แนวทางการจัดการและบรรเทาภาวะปากแห้งในผู้สูงอายุ

การจัดการภาวะปากแห้งในผู้สูงอายุควรเน้นไปที่การบรรเทาอาการและป้องกันผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น รวมถึงการหาสาเหตุและรักษาหากเป็นไปได้ แนวทางที่แนะนำ ได้แก่

  • จิบน้ำบ่อยๆ ให้ผู้สูงอายุจิบน้ำสะอาดตลอดวัน เพื่อรักษาความชุ่มชื้นในช่องปาก
  • ใช้สเปรย์ให้ความชุ่มชื้นในช่องปาก (Artificial Saliva) มีผลิตภัณฑ์หลายชนิดที่ช่วยทดแทนน้ำลายและให้ความชุ่มชื้น
  • ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำยาบ้วนปากที่มีแอลกอฮอล์จะทำให้ปากแห้งมากขึ้น
  • อมน้ำแข็งหรือน้ำแข็งบด ช่วยให้รู้สึกสดชื่นและกระตุ้นการผลิตน้ำลายเล็กน้อย
  • เคี้ยวหมากฝรั่งที่ไม่มีน้ำตาล หรืออมลูกอมที่ไม่มีน้ำตาล การเคี้ยวและการอมสามารถกระตุ้นการผลิตน้ำลายได้ (หากผู้สูงอายุไม่มีปัญหาในการกลืน)
  • ใช้เครื่องเพิ่มความชื้นในห้องนอน โดยเฉพาะในเวลากลางคืน หากผู้สูงอายุหายใจทางปากขณะนอนหลับ
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ เนื่องจากมีฤทธิ์ขับปัสสาวะและอาจทำให้ร่างกายขาดน้ำ
  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และใช้ไหมขัดฟันหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟัน
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรับคำแนะนำในการดูแลที่เหมาะสม ทันตแพทย์อาจแนะนำผลิตภัณฑ์สำหรับภาวะปากแห้ง หรือวิธีการอื่นๆ ในการดูแล
  • ปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทาน หากสงสัยว่ายาเป็นสาเหตุของปากแห้ง แพทย์อาจพิจารณาปรับเปลี่ยนยาหากเป็นไปได้
  • หลีกเลี่ยงอาหารแห้งและแข็ง เพราะอาจกลืนลำบากในภาวะปากแห้ง

 

 

ฟันสึก

การใช้งานฟันมาเป็นเวลานาน การนอนกัดฟัน หรือการมีฟันที่ไม่สบกันดี อาจทำให้ฟันสึกกร่อนได้  ลักษณะ และการใช้งานของฟันได้ ฟันสึกในผู้สูงอายุอาจเกิดจากหลายสาเหตุและมีลักษณะที่แตกต่างกันไป

ลักษณะและสาเหตุของฟันสึกในผู้สูงอายุ

ฟันสึกคือการสูญเสียเนื้อฟันไปทีละน้อย ซึ่งในผู้สูงอายุอาจเกิดจากปัจจัยต่างๆ เหล่านี้:

  • การใช้งานมาเป็นเวลานาน (Attrition) เป็นการสึกของฟันที่เกิดจากการบดเคี้ยวและการสัมผัสกันของฟันบนและฟันล่างตามธรรมชาติ เมื่อใช้งานฟันมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการสบฟันที่ไม่สมดุล หรือมีพฤติกรรมบางอย่าง เช่น การเคี้ยวของแข็งบ่อยๆ ก็จะทำให้ฟันสึกมากขึ้น
  • การนอนกัดฟัน (Bruxism) เป็นพฤติกรรมที่พบได้ในทุกวัย รวมถึงผู้สูงอายุ โดยอาจเกิดขึ้นขณะหลับโดยไม่รู้ตัว การบดหรือกัดฟันอย่างรุนแรงจะทำให้ฟันสึกกร่อนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะบริเวณผิวบดเคี้ยวและขอบฟัน
  • การแปรงฟันที่รุนแรงเกินไป (Abrasion) การใช้แปรงสีฟันที่มีขนแข็งเกินไป หรือการแปรงฟันด้วยแรงที่มากเกินไป และเทคนิคการแปรงที่ไม่ถูกต้อง สามารถทำให้เกิดการสึกของเคลือบฟันบริเวณคอฟันได้
  • การบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด (Erosion) กรดจากอาหารและเครื่องดื่ม เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้รสเปรี้ยว หรือแม้แต่กรดที่ไหลย้อนจากกระเพาะอาหาร (GERD) สามารถกัดกร่อนเคลือบฟัน ทำให้ฟันอ่อนแอและสึกได้ง่ายขึ้น
  • ภาวะปากแห้ง (Xerostomia) น้ำลายมีบทบาทในการช่วยลดความเป็นกรดในช่องปากและช่วยเคลือบฟัน เมื่อมีน้ำลายน้อยลง ฟันจึงเสี่ยงต่อการถูกกรดกัดกร่อนและสึกมากขึ้น
  • การมีฟันปลอมที่ไม่พอดี ฟันปลอมที่ไม่พอดีอาจทำให้เกิดแรงกดที่ไม่สมดุลบนฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ และอาจทำให้ฟันเหล่านั้นสึกได้
  • การบูรณะฟันที่ไม่เหมาะสม วัสดุบูรณะฟันที่ไม่เรียบเนียน หรือมีขอบคม อาจทำให้ฟันคู่สบสึกได้

แนวทางการจัดการและป้องกันฟันสึกในผู้สูงอายุ

การจัดการและป้องกันฟันสึกในผู้สูงอายุควรเน้นไปที่การหาสาเหตุและแก้ไขที่ต้นเหตุ รวมถึงการบรรเทาอาการและป้องกันการสึกมากขึ้น แนวทางที่แนะนำ ได้แก่

  • ระบุและจัดการสาเหตุ หากฟันสึกมีสาเหตุจากการนอนกัดฟัน ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใส่เครื่องป้องกันฟัน (night guard) หากเกิดจากกรดไหลย้อน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรักษา หากเกิดจากการแปรงฟันที่รุนแรง ควรปรับเปลี่ยนเทคนิคการแปรงฟันและใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร ลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรด หากรับประทานควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าตาม
  • จัดการภาวะปากแห้ง ดื่มน้ำบ่อยๆ และปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษา
  • ใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ฟลูออไรด์ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟัน
  • หลีกเลี่ยงการเคี้ยวของแข็ง โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาฟันสึก
  • บูรณะฟันที่สึก ในกรณีที่ฟันสึกมาก อาจจำเป็นต้องบูรณะด้วยวัสดุอุดฟัน ครอบฟัน หรือวีเนียร์ เพื่อปกป้องเนื้อฟันที่เหลืออยู่และปรับปรุงรูปร่างและการสบฟัน
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและประเมินการสึกของฟัน ทันตแพทย์อาจแนะนำวิธีการป้องกันเพิ่มเติม

 

 

การสูญเสียฟัน

เป็นผลมาจากฟันผุ โรคปริทันต์ หรืออุบัติเหตุ การสูญเสียฟันส่งผลต่อการบดเคี้ยวอาหาร การออกเสียง และความสวยงาม

ลักษณะและสาเหตุหลักของการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุ

การสูญเสียฟันในผู้สูงอายุมักเกิดจากปัจจัยหลายประการร่วมกัน ได้แก่

  • โรคปริทันต์ (รำมะนาด) เป็นสาเหตุหลักที่พบบ่อยที่สุดของการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุ การอักเสบและการติดเชื้ออย่างรุนแรงของเนื้อเยื่อรอบฟันและกระดูกเบ้าฟัน ทำให้ฟันโยกและหลุดในที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
  • ฟันผุที่รุนแรง ฟันผุที่ไม่ได้รับการรักษาและลุกลามไปถึงโพรงประสาทฟันและรากฟัน อาจทำให้ฟันอ่อนแอจนไม่สามารถบูรณะได้ และจำเป็นต้องถอนออกในที่สุด
  • อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ การประสบอุบัติเหตุ การล้ม หรือการได้รับการกระทบกระแทกบริเวณใบหน้าและช่องปาก อาจทำให้ฟันแตกหักและต้องถูกถอนออก
  • การดูแลสุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดีมาเป็นเวลานาน การละเลยการแปรงฟัน การใช้ไหมขัดฟัน และการไม่พบทันตแพทย์เป็นประจำ ทำให้เกิดการสะสมของคราบจุลินทรีย์และหินปูน ซึ่งนำไปสู่ฟันผุและโรคปริทันต์ในที่สุด
  • ภาวะปากแห้ง (Xerostomia) น้ำลายน้อยลงทำให้ช่องปากขาดการชะล้างและป้องกันแบคทีเรีย ทำให้เสี่ยงต่อฟันผุและโรคเหงือกมากขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงของการสูญเสียฟัน
  • โรคประจำตัวบางชนิด โรคบางอย่าง เช่น โรคเบาหวานที่ไม่สามารถควบคุมได้ดีนัก อาจส่งผลต่อสุขภาพของเนื้อเยื่อปริทันต์และการหายของแผล ทำให้มีความเสี่ยงต่อการสูญเสียฟันมากขึ้น
  • อายุที่มากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้น โครงสร้างของกระดูกเบ้าฟันอาจมีการเปลี่ยนแปลง และความสามารถในการซ่อมแซมของเนื้อเยื่ออาจลดลง
  • การใส่ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม ฟันปลอมที่ไม่พอดี อาจกดทับเหงือกและกระดูก ทำให้เกิดการละลายตัวของกระดูกรองรับฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ และอาจนำไปสู่การสูญเสียฟันเหล่านั้นได้

แนวทางการจัดการและป้องกันการสูญเสียฟันในผู้สูงอายุ

การป้องกันการสูญเสียฟันเป็นสิ่งสำคัญที่สุด การจัดการเมื่อสูญเสียฟันไปแล้วก็มีความจำเป็นเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี แนวทางที่แนะนำ ได้แก่

  • เน้นการดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างเข้มงวด แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และใช้ไหมขัดฟันหรืออุปกรณ์ทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน
  • ควบคุมโรคปริทันต์และฟันผุ พบทันตแพทย์เป็นประจำเพื่อตรวจสุขภาพและรับการรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
  • จัดการภาวะปากแห้ง ดื่มน้ำบ่อยๆ และปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์เพื่อหาสาเหตุและแนวทางการรักษา
  • ระมัดระวังอุบัติเหตุ ป้องกันการล้มและการบาดเจ็บที่อาจส่งผลต่อฟัน
  • ดูแลฟันปลอมอย่างถูกวิธี หากใส่ฟันปลอม ควรทำความสะอาดเป็นประจำและพบทันตแพทย์เพื่อตรวจเช็คความพอดี
  • บูรณะฟันที่สูญเสียไป พิจารณาการใส่ฟันปลอม รากฟันเทียม หรือสะพานฟัน เพื่อทดแทนฟันที่สูญเสียไป ช่วยในการบดเคี้ยวอาหาร การออกเสียง และความสวยงาม
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและรับคำแนะนำในการดูแลที่เหมาะสม รวมถึงการประเมินความเสี่ยงของการสูญเสียฟัน

 

 

ปัญหาเกี่ยวกับฟันปลอม

ปัญหาฟันผู้สูงอายุ ที่ใส่ฟันปลอมอาจประสบปัญหา เช่น ฟันปลอมไม่กระชับ เจ็บเหงือก มีการสะสมของเชื้อราและแบคทีเรียบนฟันปลอม หากไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาดที่ดี

ลักษณะและสาเหตุหลักฟันปลอมในผู้สูงอายุ

  • ฟันปลอมไม่กระชับหรือหลวม เป็นปัญหาที่พบบ่อยที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเวลาผ่านไป เนื่องจากเหงือกและกระดูกรองรับฟันมีการเปลี่ยนแปลงและยุบตัวลง ทำให้ฟันปลอมไม่แนบสนิท เคลื่อนที่ขณะพูดหรือเคี้ยวอาหาร อาจทำให้รู้สึกไม่สบาย เจ็บ หรือเกิดการระคายเคือง
  • การระคายเคืองหรือเจ็บเหงือก ฟันปลอมที่ไม่พอดี อาจกดทับหรือเสียดสีกับเหงือก ทำให้เกิดแผล เจ็บ หรือบวมได้ โดยเฉพาะบริเวณขอบฟันปลอม
  • ปัญหาในการบดเคี้ยวอาหาร ฟันปลอมที่หลวมหรือไม่กระชับ ทำให้การบดเคี้ยวอาหารไม่สะดวกและมีประสิทธิภาพ อาจต้องเลือกรับประทานอาหารที่อ่อนนุ่มมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลต่อโภชนาการ
  • ปัญหาในการพูด ฟันปลอมที่ไม่มั่นคงอาจทำให้การออกเสียงบางคำไม่ชัดเจน หรือทำให้เกิดเสียงดังคลิกขณะพูด ทำให้ขาดความมั่นใจในการสื่อสาร
  • การสะสมของคราบจุลินทรีย์และเชื้อรา หากทำความสะอาดฟันปลอมไม่ดีพอ อาจมีการสะสมของคราบอาหาร แบคทีเรีย และเชื้อรา (เช่น เชื้อราในช่องปาก) บนผิวฟันปลอม ซึ่งอาจทำให้เกิดกลิ่นปาก การระคายเคืองเหงือก หรือการติดเชื้อ
  • ฟันปลอมแตกหักหรือชำรุด ฟันปลอมอาจแตกหักจากการใช้งานเป็นเวลานาน การทำตก หรือการกัดเคี้ยวของแข็งโดยไม่ระมัดระวัง
  • อาการแพ้วัสดุทำฟันปลอม ในบางรายอาจมีอาการแพ้ต่อวัสดุที่ใช้ทำฟันปลอม เช่น อะคริลิก ทำให้เกิดการระคายเคือง บวม หรือแสบร้อนในช่องปาก
  • ความไม่คุ้นชินและความรู้สึกไม่สบาย ผู้สูงอายุบางรายอาจรู้สึกไม่คุ้นชินกับฟันปลอม โดยเฉพาะในช่วงแรกที่ใส่ อาจรู้สึกว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในปาก หรือรู้สึกว่ามีน้ำลายมากเกินไป
  • ปัญหาด้านความสวยงาม ฟันปลอมที่ไม่เป็นธรรมชาติ หรือสีไม่เข้ากับฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ อาจส่งผลต่อความมั่นใจในรอยยิ้ม

แนวทางการจัดการและป้องกันปัญหาเกี่ยวกับฟันปลอมในผู้สูงอายุ

  • ทำความสะอาดฟันปลอมอย่างถูกวิธี ถอดฟันปลอมมาทำความสะอาดทุกวันด้วยแปรงและน้ำยาทำความสะอาดฟันปลอมโดยเฉพาะ ขัดถูทุกซอกทุกมุมเพื่อกำจัดคราบอาหารและจุลินทรีย์
  • แช่ฟันปลอมในน้ำสะอาดหรือน้ำยาแช่ฟันปลอมเมื่อไม่ได้ใช้งาน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของวัสดุและป้องกันการบิดงอ
  • ดูแลความสะอาดของช่องปาก แปรงฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ เหงือก และลิ้นอย่างสม่ำเสมอ
  • บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อช่วยลดเชื้อแบคทีเรียในช่องปาก
  • หลีกเลี่ยงการกัดเคี้ยวของแข็งหรือเหนียวจัด เพื่อป้องกันฟันปลอมแตกหักและลดแรงกดบนเหงือก
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ตรวจความพอดีของฟันปลอม และรับคำแนะนำในการดูแลที่เหมาะสม หากฟันปลอมหลวมหรือไม่กระชับ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพื่อปรับปรุงหรือทำฟันปลอมใหม่
  • แจ้งทันตแพทย์หากมีอาการเจ็บปวด ระคายเคือง หรือมีปัญหาในการใช้งานฟันปลอม ไม่ควรพยายามแก้ไขฟันปลอมด้วยตนเอง
  • หากสงสัยว่าแพ้วัสดุทำฟันปลอม ควรแจ้งทันตแพทย์เพื่อพิจารณาทางเลือกอื่น
  • ในช่วงแรกที่ใส่ฟันปลอม ควรทำตามคำแนะนำของทันตแพทย์อย่างเคร่งครัด และอดทนรอให้คุ้นชิน หากรู้สึกไม่สบายมาก ควรปรึกษาทันตแพทย์
  • พิจารณาการใช้ผลิตภัณฑ์ช่วยยึดฟันปลอม (Denture Adhesive) ในบางกรณี ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้ครีมหรือแผ่นกาวติดฟันปลอม เพื่อช่วยเพิ่มความกระชับและความมั่นคง

 

 

มะเร็งช่องปาก

แม้จะไม่ใช่ปัญหาที่พบบ่อยที่สุด แต่ ปัญหาฟันผู้สูงอายุ ความเสี่ยงของมะเร็งช่องปากจะเพิ่มขึ้นตามอายุ ดังนั้นการตรวจสุขภาพช่องปากเป็นประจำจึงสำคัญ

ลักษณะและความเสี่ยงของมะเร็งช่องปากในผู้สูงอายุ มะเร็งช่องปากเป็นการเจริญเติบโตที่ผิดปกติของเซลล์ในบริเวณต่างๆ ของช่องปาก เช่น ริมฝีปาก ลิ้น เหงือก กระพุ้งแก้ม เพดานปาก และพื้นช่องปาก ในผู้สูงอายุ มีปัจจัยเสี่ยงบางอย่างที่อาจเพิ่มโอกาสในการเกิดมะเร็งช่องปาก ได้แก่

  • อายุที่มากขึ้น ความเสี่ยงของมะเร็งโดยทั่วไปจะเพิ่มขึ้นตามอายุ เนื่องจากเซลล์มีการแบ่งตัวและสะสมความผิดปกติทางพันธุกรรมมากขึ้น
  • การสูบบุหรี่และการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบ การสูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่สุดของมะเร็งช่องปาก รวมถึงการใช้ยาสูบในรูปแบบอื่นๆ เช่น ยาเส้น ยาเคี้ยว ก็เพิ่มความเสี่ยงอย่างมาก และผลกระทบจะสะสมตามระยะเวลาการใช้งาน
  • การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมากและเป็นประจำก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสูบบุหรี่ร่วมด้วย จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงมากขึ้น
  • การสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป โดยเฉพาะบริเวณริมฝีปากล่าง อาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งริมฝีปาก
  • การติดเชื้อไวรัส Human Papillomavirus (HPV) โดยเฉพาะสายพันธุ์ 16 มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งช่องปากบางชนิด โดยเฉพาะบริเวณทอนซิลและโคนลิ้น
  • สุขอนามัยช่องปากที่ไม่ดี การละเลยการดูแลช่องปากเป็นเวลานานอาจเพิ่มความเสี่ยง
  • การใส่ฟันปลอมที่ไม่พอดี ฟันปลอมที่หลวมและมีการเสียดสีกับเนื้อเยื่อในช่องปากเป็นเวลานาน อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นในบางกรณี
  • ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้สูงอายุบางรายอาจมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องเนื่องจากโรคประจำตัวหรือการรักษาบางชนิด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็ง
  • ประวัติการเป็นมะเร็งในครอบครัว มีความเชื่อมโยงทางพันธุกรรมกับความเสี่ยงของมะเร็งบางชนิด

แนวทางการจัดการและป้องกันมะเร็งช่องปากในผู้สูงอายุ

  • งดสูบบุหรี่และผลิตภัณฑ์ยาสูบทุกชนิด
  • จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไปบริเวณริมฝีปาก อาจใช้ลิปบาล์มที่มีส่วนผสมของสารกันแดด
  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากให้ดี แปรงฟันและใช้ไหมขัดฟันอย่างสม่ำเสมอ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เน้นผักและผลไม้
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปากและสังเกตความผิดปกติ
  • หากใส่ฟันปลอม ดูแลความสะอาดและตรวจเช็คความพอดีของฟันปลอม
  • หากมีอาการหรือสัญญาณที่น่าสงสัย ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือทันตแพทย์โดยเร็วที่สุด

 

อาการเสียวฟัน

 เหงือกร่นซึ่งพบได้บ่อยในผู้สูงอายุ ทำให้รากฟันที่ไม่มีเคลือบฟันปกคลุมสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นภายนอกได้ง่ายขึ้น

ลักษณะและสาเหตุของอาการเสียวฟันในผู้สูงอายุ อาการเสียวฟันในผู้สูงอายุคือความรู้สึกเจ็บแปลบหรือไม่สบายบริเวณฟันเมื่อสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นบางอย่าง โดยเฉพาะความเย็น ความร้อน อาหารรสหวาน หรือรสเปรี้ยว สาเหตุหลักๆ ได้แก่

  • เหงือกร่น (Gingival Recession) เป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ เมื่อเหงือกร่นลง จะเผยให้เห็นส่วนของรากฟันที่ไม่มีเคลือบฟันปกคลุม รากฟันจึงมีความไวต่อสิ่งกระตุ้นภายนอกมากกว่าตัวฟันที่มีเคลือบฟันปกคลุม สาเหตุของเหงือกร่นในผู้สูงอายุอาจมาจากการแปรงฟันที่รุนแรงเกินไป โรคปริทันต์ หรืออายุที่มากขึ้น
  • เคลือบฟันสึกกร่อน (Enamel Erosion) การสูญเสียชั้นเคลือบฟันทำให้ชั้นเนื้อฟัน (dentin) ที่อยู่ด้านในสัมผัสกับสิ่งกระตุ้นได้โดยตรง สาเหตุของเคลือบฟันสึกกร่อนในผู้สูงอายุอาจมาจาก:
  • ฟันผุบริเวณคอฟันและรากฟัน เป็นบริเวณที่เคลือบฟันบางและเหงือกร่น ทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ง่ายเมื่อผุ
  • การบูรณะฟันเก่า วัสดุอุดฟันเก่าอาจมีการเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดรอยร้าวเล็กๆ หรือช่องว่าง ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้
  • การขูดหินปูนและการเกลารากฟัน แม้จะเป็นการรักษาโรคปริทันต์ แต่ในช่วงแรกหลังการรักษาอาจมีอาการเสียวฟันชั่วคราวเนื่องจากมีการเปิดผิวรากฟันมากขึ้น
  • ฟันแตกหรือร้าว ฟันที่ใช้งานมานานอาจมีรอยแตกเล็กๆ ที่ลึกถึงชั้นเนื้อฟัน ทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้
  • ภาวะปากแห้ง (Xerostomia) น้ำลายน้อยลงทำให้ฟันและเนื้อเยื่อในช่องปากขาดการปกป้องตามธรรมชาติ ทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ง่ายขึ้น

แนวทางการจัดการและบรรเทาอาการเสียวฟันในผู้สูงอายุ

  • ใช้ยาสีฟันสำหรับฟันเสียว มีส่วนผสมที่ช่วยอุดท่อเนื้อฟันและลดการส่งผ่านความรู้สึก
  • ใช้แปรงสีฟันขนนุ่ม และแปรงฟันอย่างเบามือ
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดสูง หรือหากรับประทานควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่า
  • ใช้ไหมขัดฟันอย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้เหงือกร่นมากขึ้น
  • ปรึกษาทันตแพทย์ เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม ทันตแพทย์อาจแนะนำ
    • การเคลือบฟลูออไรด์ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟัน
    • การอุดฟัน เพื่อปิดบริเวณที่ผุหรือสึกกร่อน
    • การเคลือบผิวฟัน (Dental Bonding) เพื่อปิดบริเวณที่เหงือกร่นเล็กน้อยหรือเคลือบฟันสึก
    • การรักษาโรคเหงือก หากเป็นสาเหตุของเหงือกร่น
    • การครอบฟัน ในกรณีที่ฟันแตกหรือสึกมาก
    • การรักษารากฟัน ในกรณีที่อาการรุนแรงและไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่นๆ

แนวทางการดูแลสุขภาพฟันสำหรับผู้สูงอายุ

  • ดูแลสุขอนามัยช่องปากอย่างสม่ำเสมอ แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้งด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ และใช้ไหมขัดฟันหรือแปรงซอกฟันทำความสะอาดซอกฟันทุกวัน
  • ทำความสะอาดฟันปลอมอย่างถูกวิธี ถอดฟันปลอมมาทำความสะอาดทุกวันด้วยแปรงและน้ำยาทำความสะอาดฟันปลอม และแช่ฟันปลอมในน้ำสะอาดหรือน้ำยาแช่ฟันปลอมเมื่อไม่ได้ใช้งาน
  • บ้วนปาก อาจใช้น้ำยาบ้วนปากที่ไม่มีแอลกอฮอล์เพื่อช่วยลดเชื้อแบคทีเรีย
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพื่อช่วยรักษาความชุ่มชื้นในช่องปาก
  • หลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อลดความเสี่ยงของฟันผุ
  • พบทันตแพทย์เป็นประจำ อย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อตรวจสุขภาพช่องปาก ขูดหินปูน และรับคำแนะนำในการดูแลที่เหมาะสม
  • แจ้งทันตแพทย์เกี่ยวกับยาที่รับประทานและโรคประจำตัว เพื่อให้ทันตแพทย์สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและระมัดระวังผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
  • สำหรับผู้ที่มีภาวะปากแห้ง ทันตแพทย์อาจแนะนำให้ใช้น้ำลายเทียม หรือมีวิธีการอื่นๆ เพื่อช่วยบรรเทาอาการ

ปัญหาฟันผู้สูงอายุ  การดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถรับประทานอาหารได้อย่างมีความสุข มีคุณภาพชีวิตที่ดี และป้องกันปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวม  หากคุณมีข้อสงสัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพฟันของผู้สูงอายุ สามารถสอบถามได้เลย identistclinic ยินดีให้ข้อมูลเพิ่มเติม @iDentistClinic